รู้ไหมว่าอายุธรรมดากับอายุทางคณิตศาสตร์ (Maths AgeTM)
แตกต่างกัน
นอกจากนั้น วิจัยยังบอกว่าในห้องเรียนขนาด 40 คน
มีช่องว่างระหว่างเด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ที่สุดและอ่อนที่สุดมากถึง 4 ปี
เพราะฉะนั้นครูมักจะสอนไปที่ค่าเฉลี่ยเสมอ ทำให้ทุกชั่วขณะ
จะมีเด็กนั่งงงและนั่งเบื่ออยู่ และรู้ไหมว่า
อายุทางคณิตศาสตร์ของแต่ละหัวข้อย่อยของแต่ละคน (เช่น บวก ลบ เรขาคณิต ฯลฯ)
ยังไม่เหมือนกันอีก!
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงกับทุกวิชา
และเป็นประเด็นร้อนในวงการศึกษาโลกที่เราเรียกกันว่า Personalised Learning
นั่นคือ
หากเด็กมีความสามารถแตกต่างกัน มีสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
เราจะจัดเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาศักยภาพตามรายบุคคลอย่างไร
วันนี้ดิฉันขอเล่าสู่กันฟังถึงเรื่อง Personalised Learning
จากงานสัมมนาเรื่อง
“ยกระดับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่” เมื่อวันที่ 18 ก.ค.
ที่ผ่านมานะคะ
รัฐบาลอังกฤษทำวิจัยเพื่อหาวิธีสนับสนุนให้ได้เรียนแบบ
Personalised Learning พบว่าทำได้หลายวิธี เช่น เพิ่มจำนวนครูต่อห้อง ลดจำนวนเด็กต่อห้อง
ให้เด็กเรียนพิเศษแบบตัวต่อตัว และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ผลวิจัยด้านคณิตศาสตร์พบว่าหากเด็กได้เรียนพิเศษตัวต่อตัว 20 ชั่วโมง
อายุทางคณิตศาสตร์จะเพิ่มขึ้น 1.2 เท่า
หากแต่การเรียนพิเศษตัวต่อตัวต้องใช้งบประมาณสูงมาก
และไม่สามารถทำได้ในภาพกว้าง จึงมีการวิจัยต่อกับนักเรียน 8,388
คนที่ประเทศอังกฤษ โดยใช้โปรแกรมติวเตอร์ออนไลน์ Maths-Whizz พบว่า
เมื่อใช้โปรแกรม 60 นาที/สัปดาห์ ต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน
อายุทางคณิตศาสตร์จะเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ทำให้โรงเรียนกว่า 4,000 แห่งในประเทศอังกฤษ และอีก 11 ประเทศทั่วโลกใช้โปรแกรม
Maths-Whizz นี้แล้ว
คุณเลียม เพททิท ผู้เชี่ยวชาญด้าน Personalised Learning
วิชาคณิตศาสตร์จาก Whizz Education ประเทศอังกฤษกล่าวว่า
“ปัจจัยสำเร็จของการยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ขึ้นอยู่กับสามเหลี่ยมแห่งความสำเร็จ
หนึ่งคือกระตุ้นให้เด็กสนุกและตื่นเต้นกับคณิตศาสตร์
สองคือครูมีข้อมูลพัฒนาการของเด็กรายบุคคล
รู้ว่าเด็กคนไหนต้องการความช่วยเหลือตรงไหน และสามคือผู้ปกครองมีส่วนร่วม
สนับสนุนนโยบายของโรงเรียนในการทำกิจกรรมคณิตศาสตร์”
คุณเลียมเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก
ว่าคณิตศาสตร์เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องสนุก
“เด็กส่วนมากจะตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ชอบคณิตศาสตร์ในระหว่างอายุ 7-9 ปี
หากเขาคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นเรื่องยาก ทำไม่ได้ ในอายุช่วงนั้น
เขาจะไม่ชอบคณิตศาสตร์อีกเลย” นี่คือความท้าทายของผู้จัดการเรียนรู้ที่จะทำให้บทเรียนคณิตศาสตร์สนุก
มีแอนิเมชั่น มีกิมมิคมัดใจเด็ก
“ผมคิดว่าสาเหตุที่ Maths-Whizz
ได้รับรางวัลจากเวทีประกวดนวัตกรรมการเรียนรู้นานาชาติ เช่น BETT Awards, Education Resource Award
หรือแม้กระทั่งรางวัล Queen’s Award for Enterprise จากพระราชินีอลิซาเบทที่
2
นั่นเป็นเพราะเราสร้างสรรค์โปรแกรมติวเตอร์ที่ตอบโจทย์สามเหลี่ยมแห่งความสำเร็จ
เด็ก ๆ ชอบ Maths-Whizz มากเพราะได้ทำแบบฝึกหัดแอนิเมชั่นที่สนุก
ทุกครั้งที่ทำจะได้สะสมแต้มไปซื้อของเล่น ซื้อสัตว์เลี้ยง
สามารถท้าชิงเพื่อนจากทั่วโลกได้
ครูชอบ Maths-Whizz เพราะครูเห็นรายงานพัฒนาการของเด็กแบบ
real-time วิเคราะห์ได้เป็นรายห้องเรียนและรายบุคคล และสำหรับผู้ปกครองประทับใจ
เพราะเป็นวิธีที่ให้ลูกได้ทำคณิตศาสตร์แบบไม่ต้องบังคับ และเห็นผลได้จริง”
อาจารย์ดวงใจ ตระกูลช่าง ผู้รับใบอนุญาตกลุ่มโรงเรียนแย้มสอาด เล่าว่า
“ตั้งแต่โรงเรียนนำเทคโนโลยีเข้ามาบูรณาการกับการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม IPAD หรือ Maths-Whizz
พบว่าผลการเรียนดีขึ้นจริง ๆ ที่สำคัญเด็ก ๆ กระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด
ปกติวันจันทร์เด็ก ๆ จะไม่อยากเรียน แต่ตั้งแต่เปิดเทอมมา 6 สัปดาห์
ไม่มีใครขาดเรียนเลย”
ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์จาก สสวท. ดร. รณชัย ปานะโปย
เสนอเพิ่มเติมว่า “ครูเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก
ถึงแม้ว่าโลกปัจจุบันไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีได้
แต่สิ่งสำคัญคือการสนทนาในห้องเรียน ครูจะต้องจัดเวลาในการพูดคุยกับเด็ก
ตั้งคำถามและเปิดเวทีให้มีการพูดคุยและอภิปรายในห้องเรียนด้วย”
ด้านหน่วยงานที่สร้างครูอย่าง ดร. ยุรวัฒน์ คล้ายมงคล คณะครุศาสตร์
จุฬาฯ ยังเสริมอีกว่า “การเรียนรู้ที่เหมาะสม จะต้องมีทั้งส่วน Personalised
Learning ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล และต้องให้ความสำคัญของการเรียนรู้แบบทั้งห้อง
(whole-class) ให้มีความเป็น interactive และสนุกสนาน”
“โรงเรียนหลายแห่งปฏิเสธเทคโนโลยีเพราะกลัวครูไม่ยอมใช้ ผมต้องตั้งคำถามว่า
ในโลกปัจจุบัน เด็ก ๆ ใช้เทคโนโลยีกันหมดแล้ว เราจะปฏิเสธความจริงของโลกทำไม
แต่สิ่งสำคัญ คือ การใช้เทคโนโลยีด้วย Best Practice ต่างหาก
ถึงจะยกระดับการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง”
ดิฉันขอทิ้งท้ายบทความด้วยสิ่งที่ได้ยินมานะคะ
“น้องกันไม่เก่งเลขหรอกค่ะ ให้เล่นบอลดีกว่า ไม่ต้องเครียด”
น้องกันมองหน้าคุณแม่อย่างงง ๆ คุณคิดว่าหากน้องกันไม่มีโอกาสได้ค้นหาศักยภาพของตัวเอง
และเพียงคุณครูและคุณแม่ตัดสินใจว่าน้องกันไม่เก่งเลข โดยยังไม่รู้ข้อเท็จจริง
คุณคิดว่าน้องกันจะอยากลองทำเลขต่อไปไหมคะ หรือน้องกันจะคิดว่า “เออ
ผมคงไม่เก่งเลขจริง ๆ ช่างมันเถอะ!”
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น