วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ต่อยอด...ไม่ทำลาย


ต่อยอด ไม่ทำลาย

โดย คิม จงสถิตย์วัฒนา kim@nanmeebooks.com
วันนี้ดิฉันมีโอกาสไปเที่ยวสวนโบราณคดีมาดาบ้า ประเทศจอร์แดน รู้สึกประทับใจที่วิหารแห่งหนึ่ง สร้างโดยชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 ต่อเติมเพิ่มเป็นโถงฮิปโปลิทัสที่มีพื้นโมเสกสวยงามตอนต้นศตวรรษที่ 4 ในสมัยไบแซนไทน์ที่ 1 ปรับปรุงเพิ่มในศตวรรษที่ 7 ในสมัยไบแซนไทน์ที่ 2 และต่อเติมพื้นโมเสกสวยงามขึ้นไปอีกโดยชนเผ่าอูมัยยาดในสมัยอิสลาม
ดิฉันประทับใจแนวความคิด “ต่อยอด ไม่ทำลาย” เพราะหลายครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนการปกครอง โดยเฉพาะมีการเปลี่ยนศาสนา มักมีการทำลายเกิดขึ้น เช่น รูปปั้นพระพุทธรูปที่ถูกตัดเศียรในนครวัด เป็นต้น 


บนพื้นโมเสกในโถงฮิปโปลิทัสนี้ ใจกลางเป็นลายดั้งเดิมของโบสถ์ในสมัยไบแซนไทน์ แต่รอบนอกเป็นการออกแบบเพิ่มในสมัยอิสลาม แลดูสวยงาม ไม่เห็นรอยต่อ สะท้อนให้คิดว่า หากผู้นำใจกว้างทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องศาสนาหรอกนะคะ เมื่อเปลี่ยนผู้บริหารก็มักเปลี่ยนโยบาย หลายครั้งไม่พัฒนาจากสภาพปัจจุบัน แต่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ทำงานขาดความต่อเนื่อง

สองสัปดาห์ที่แล้ว โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย เชิญวิทยากรหลักจากมูลนิธิ Haus der kleinen Forscher ประเทศเยอรมนี มาพัฒนาทีมวิทยากรหลักคนไทยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีการศึกษา 2559 ที่ผ่านมาเราใช้แนวคิด Research Cycle แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็น Inquiry Circle ทำให้เราแปลกใจว่าทำไมเปลี่ยน เมื่อถามไป เขาก็ตอบมาว่า เขาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เมื่อพบสิ่งที่ดีกว่าเดิมก็เปลี่ยนได้ หลังจากถกกันว่าเปลี่ยนทำไม เปลี่ยนดีไหม ก็มาสู่ข้อสรุปว่าเราจะเปลี่ยน แต่สำคัญคือ เรารู้ว่าจะเปลี่ยนเพราะอะไร
สัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันคุยกับทีมงานถึงแนวทางการปรับปรุงงานในปีหน้า มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแย้งว่า บริษัทเราเปลี่ยนแปลงบ่อยจัง กลัวว่าลูกค้ารับไม่ได้ ดิฉันจึงชวนทีมงานไล่คิดถึงที่มาที่ไป ปีนี้เกิดอะไรขึ้นที่เราคิดว่าทำได้ดี แต่มีเรื่องอะไรที่คิดว่าควรทำให้ดีขึ้น จนทำให้เราเข้าใจว่า หากเรามีหลักคิด มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับคำพูดหรือความคิดเห็นของคนรอบข้าง แต่เราสามารถสร้างความเข้าใจกับพวกเขาได้
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่อตอกย้ำว่า ในยุคปัจจุบัน เราหยุดอยู่กับที่หรือยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ ไม่ได้อีกต่อไป ชาลส์ ดาร์วิน บอกว่า “ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะเอาชีวิตรอดได้ แต่เป็นคนที่พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างหาก” เพราะฉะนั้นกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำคัญมาก ง่ายที่สุดก็เรียกว่า PDCA คือ Plan Do Check Action เริ่มจาการวางแผน ลองทำดู ตรวจสอบว่าทำแล้วดีไหม ควรปรับตรงไหนไหม ปรับตามนั้น แล้วก็วนรอบไปเรื่อย ๆ

ระหว่างที่ไกด์เล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์ ก็มีการพูดถึงกรณีที่กษัตริย์ฮุสเซนต้องปล่อยมือจากเขตเวสต์แบงก์ให้กับอิสราเอล ทำไมถึงยอมมอบดินแดนให้คนอื่น ไกด์ของเราออกความเห็นว่า “เพราะรู้อยู่แล้วว่าหากสู้ก็ต้องแพ้ คนต้องตายอีกมากมาย เพราะฉะนั้น ต้องตัดใจ มองภาพใหญ่” เพื่อนอีกคนเลยบอกว่า คงเป็นเหมือนกับตอนที่ประเทศไทยเราต้องมอบดินแดนบางส่วนให้อังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5
คงยากที่เรื่องแบบนี้จะมีทางออกที่ถูกใจทุกคน แต่ในฐานะผู้นำ ต้องมองภาพใหญ่เป็นหลัก ไม่ควรยึดติดกับ “ความรู้สึกผูกพัน” มากเกินไป เพราะสุดท้าย “อดีต” หรือ “ความรู้สึก” ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีได้
ดร.สเปนเซอร์ จอห์นสัน เขียนในหนังสือ “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป” ว่า “ชีวิตก้าวเดิน เราก็ต้องเดินไปกับมัน” “สิ่งที่เราหวาดกลัวมันไม่แย่อย่างที่เราคิดหรอก” “หากเราเห็นว่าเราทำอะไรผิดไป ขอให้หัวเราะเยาะมัน เปลี่ยนแปลง แล้วทำให้ดีขึ้น”

วันนี้ ดิฉันเห็นท้องฟ้าที่สวยงามมาก จากสีฟ้าสดตอนบ่าย เป็นสีม่วงผสมชมพูและส้มในยามอาทิตย์ตกดิน ปีใหม่แล้ว จึงอยากเชิญชวนให้เพื่อน ๆ ทุกคน “ต่อยอด ไม่ทำลาย” นะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

Mini Phaenomenta ศูนย์วิทยาศาสตร์ในโรงเรียน


โดย คิม จงสถิตย์วัฒนา kim@nanmeebooks.com

ลายเดือนก่อน ดิฉันเล่าถึงโครงการสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์ในโรงเรียนที่นานมีบุ๊คส์ร่วมดำเนินงานกับมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสนับสนุนโดยสถาบันเกอเธ่ ตอนนี้โครงการนี้เริ่มแล้วนะคะ
ตอนที่ดิฉันเชื้อเชิญโรงเรียนที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้ามาฟังว่า Mini Phaenomenta เป็นอย่างไร อาจสุดโต่งอย่างไร ก็มีโรงเรียนทั้งหมด 7 แห่ง[1]ลงชื่อว่าจะนำร่องด้วย เมื่อเดือนที่แล้วทั้ง 7 โรงเรียนนี้ส่งตัวแทนครูและผู้ปกครองที่แอ็กทีฟโรงเรียนละ 3 คนมาร่วมเวิร์กช็อป 3 วัน 2 คืนด้วยกันที่ Go Genius Learning Center เขาใหญ่
เป้าหมายของเวิร์กช็อปคือทลายกำแพงของ “ความเป็นไปไม่ได้” ในการทำงานไม้ การก่อสร้าง ความจริงในโรงเรียนนานาชาติ เด็กทุกคนจะมีประสบการณ์ทำงานช่าง งานไม้ในวิชา Design & Technology แต่โรงเรียนไทยไม่มีวิชานี้ เพราะฉะนั้น คนไทยส่วนมากไม่เคยจับเครื่องมือมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อยไม้ เจาะรู ตัดกระจก เป็นต้น

ในครั้งนี้ ผู้ร่วมเวิร์กช็อปถูกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน แต่ละกลุ่มจะได้ “วิธีสร้าง” สถานีวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วลงมือทำจริง โดยวิทยากรจะสวมหมวก facilitator คือ ไม่บอก ไม่สั่ง แต่คอยแนะถึงเทคนิค เช่น วิธีการตัดไม้รูปครึ่งวงกลม เป็นต้น พอสิ้นวัน ทุกคนจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเห็นประจักษ์ว่า “ฉันทำได้ด้วยมือของฉันเอง”
ความจริงแล้ว พอถึงคราวที่แต่ละโรงเรียนจะไปสร้างสถานีการทดลองเอง ครูจะไม่ได้เป็นคนสร้างนะคะ แต่จะเชิญชวนให้ผู้ปกครองเป็นคนสร้างให้โรงเรียน ระหว่างที่เราสะท้อนความคิดตอนกลางคืน หลายท่านบอกว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครองแบบนี้ รู้สึกพิเศษมาก หลายท่านคงจำได้ว่า ก่อนดิฉันรับปาก ดร.ฟีเซอร์ (ผู้คิดค้นคอนเซ็ป Mini Phaenomenta) ว่าจะทำโครงการนี้ที่ประเทศไทย ดิฉันเคยเถียงท่านว่า ผู้ปกครองชาวไทยไม่น่าจะยอมสร้างสถานีฯ เป็นอันขาด คงจะว่าจ้างช่างไม้ข้างนอก หรือไม่ก็ให้ครูทำ ตอนนี้ดิฉันเข้าใจแล้ว การที่ ดร.ฟีเซอร์ กำหนดว่าทุกโรงเรียนที่ร่วมโครงการจะต้องส่งตัวแทนมาเวิร์กช็อปก่อน ก็เพื่อโน้มน้าวแบบธรรมชาติที่สุดว่า “เราทำได้” และเมื่อเชิญผู้ปกครองมาเป็นส่วนหนึ่งด้วยแล้ว คนกลุ่มนี้นี่แหละที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับเราต่อไป

จุดเด่นอีกอย่างของ Mini Phaenomenta คือ ห้ามติดป้ายชื่อ วิธีเล่น และคำอธิบายของปรากฏการณ์เด็ดขาด เรื่องนี้คือเรื่องสุดโต่งที่ดิฉันกล่าวถึงข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่โดนแรงต้านมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในระดับวิทยากรของเราเองก็ตาม ครู และผู้ปกครอง แต่ในวันสุดท้ายของเวิร์กช็อป ทุกคนจะทำกิจกรรม Genetic Talk คือ เราแบ่งกันเป็น 2 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั่งล้อมรอบสถานีที่ประทับใจที่สุด ในเวลานี้ วิทยากรทำหน้าที่ facilitate อย่างเดียว ซึ่งทุกคนต้องอดใจเปิดปากอย่างมาก เราจะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมเวิร์กช็อป “เล่น” กับสถานีต่อหน้าทุกคน โดยมีกติกาคือ จะต้องพูดออกมาเสียงดังว่า “ฉันกำลังจะทำอะไร ฉันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” แล้วก็ทำมัน จากนั้นให้พูดว่า “พบว่ามันเกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็นเพราะอะไร” แล้วก็กลับที่ คนต่อไปที่ยกมือก็จะเวียนกระบวนการนี้ แต่จะเปลี่ยนตัวแปรไปเรื่อย ๆ “คราวนี้ฉันจะทำแบบนี้บ้าง ฉันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ลองทำดู “ฮืม มันกลับเป็นแบบนั้น” ฯลฯ ที่ต้องบอกว่าวิทยากรต้องปิดปากตัวเองเป็นเพราะ สิ่งที่บางคนพูดมันผิดเพี้ยนมาก หรือถูกต้องโป๊ะเชะมาก แต่วิทยากรห้ามโต้เถียง ห้ามอธิบาย หรือห้ามคอนเฟิร์ม นี่คือคือกระบวนการเรียนรู้แบบธรรมชาติ โดยใช้วิธีการ Accommodation (เรียนรู้จากความแตกต่างในความคิดตอนต้น) ซึ่งครู (หรือในที่นี้คือวิทยากร) สามารถกระตุ้นได้มากขึ้นด้วยกระบวนการ Genetic Talk ค่ะ


ตอนนี้เปิดเทอมสองแล้ว ทั้ง 7 โรงเรียนเริ่มนำ Mini Phaenomenta เข้าโรงเรียนจริง โดยก้าวแรก โครงการของเราจะเอาสถานีเคลื่อนที่ไปให้ยืมโรงละสองสัปดาห์ ระหว่างนั้น โรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองให้มาเห็นความมหัศจรรย์และแววตาของเด็ก ๆ เพื่อหลังจากที่สถานีถูกเวียนไปโรงเรียนอื่น ผู้ปกครองก็จะได้ยกมืออาสาสร้างสถานีประจำให้กับโรงเรียน หากโรงเรียนไหนสนใจร่วมโครงการกับเราในปีการศึกษา 2559 กรุณาอีเมลหาดิฉันได้เลยค่ะ



[1] โรงเรียนทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ เซนต์โยเซฟทิพวัล จิตรลดา อัสสัมชัญสมุทรปราการ เพลินพัฒนา รุ่งอรุณ อนุบาลวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ อนุบาลเมืองอุทัยธานี