วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

STREAM Approach – แนวคิดบริหารการศึกษาแบบบูรณาการ

ตั้งแต่นานมีบุ๊คส์ผันตัวเองจากการเป็นสำนักพิมพ์ (publisher) สู่ผู้ให้บริการด้านการเรียนรู้ (learning service provider) ทีมงานครุ่นคิดถึงเป้าหมายและแนวทางการทำงานอย่างมาก เราล้วนเห็นด้วยว่า เป้าหมายคือ สร้างคนที่มีคุณภาพ ที่มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ทักษะการจัดการตัวเอง ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหาและตัดสินใจ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะการทำงานให้สำเร็จลุล่วง แต่จะทำอย่างไรล่ะ

เราเชื่อว่า “วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์” เป็นเครื่องมือที่จะตอบโจทย์นี้ ช่วงหลังมานี้ นักการศึกษาไทยมักกล่าวถึง STEM Education (Science Technology Engineering Maths) ว่าจะเป็นเครื่องมือในการสมรรถภาพในการแข่งขันให้คนไทยในตลาดโลกได้ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ได้หมายความว่าต้องสร้างวิชาใหม่ชื่อ STEM ขึ้นมา แต่จะปรับวิธีการเรียนการสอนอย่างไรให้ต่อยอดจากการเรียนเพื่อเรียน ให้เด็กและเยาวชนคิดต่อได้ เช่น จากเรียนวิทย์ สามารถต่อยอดสู่การทำโครงงาน สู่การสร้างนวัตกรรมได้ เป็นต้น

ในฐานะคนทำหนังสือ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การอ่าน (Reading) และศิลปะ (Arts) จึงนำมาสู่ STREAM ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เราคิดค้น แต่เราเอา STREAM มาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบ STREAM Approach ในแบบฉบับนานมีบุ๊คส์ขึ้น

ลองยกตัวอย่างนะคะ หากเราเป็นครูวิทย์ นอกจากจะสอนเนื้อหาตามแบบเรียนปกติแล้ว เราจะมีบทบาทส่งเสริมการอ่านอย่างไร เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนไปสู่การแก้ปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวันอย่างไร เชื่อมโยงไปสู่สังคมที่เราอยู่อย่างไร นี่คือการบูรณาการ

เช่น หากเราสอนเรื่องเพนดูลัม ซึ่งเป็นเนื้อหาในชั้น ป. 3 หากเราไม่เชื่อมโยง คำว่า “เพนดูลัม” จะไม่มีนัยยะสำคัญอะไรกับชีวิตเลย แต่หากเราเริ่มการเรียนรู้โดยการให้เด็ก ๆ ช่วยกันคิดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เด็ก ๆ อาจพูดถึงโทรทัศน์ โทรศัพท์ ที่ไม่พลาดคือนาฬิกา เพราะทุกคนใส่ เราก็สามารถเชื่อมต่อได้ว่า นาฬิกาทำงานได้อย่างไร บ้างอาจบอกว่าใส่ถ่าน บ้างอาจบอกว่าต้องเสียบปลั๊ก แต่สุดท้ายครูสามารถเชื่อมสู่เรื่องเพนดูลัมได้ แต่หากจะให้ทำความเข้าใจจากแบบเรียนอย่างเดียว คงไม่เห็นภาพ ครูสามารถพาเด็ก ๆ ทำการทดลองต่อได้ หากสนุก ยังพาทำโครงงานต่อได้อีก ทั้งหมดนี้ เด็ก ๆ สามารถไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือในห้องสมุด แม้กระทั่งแนะนำให้เด็ก ๆ อ่านวรรณกรรมเยาวชนเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาก็ได้ หรือพาเด็ก ๆ ไปทัศนศึกษาต่อที่โรงงานทำนาฬิกาหรือศูนย์วิทยาศาสตร์ได้

หากครูสอนแบบ STREAM Approach ครูจะมีบทบาทที่เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับเรื่องรอบตัวเด็ก ทำให้เนื้อหามีความหมายกับชีวิต ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบอย่างเดียว และที่สำคัญ หากครูตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ก็จะรู้ว่า เด็กแต่ละคนถูกปลุกเร้าให้เรียนรู้หรือเข้าใจด้วยสื่อที่แตกต่างกัน บางคนฟังแล้วเข้าใจ บางคนต้องได้ทำเองจริง บางคนต้องไปศึกษาต่อเงียบ ๆ คนเดียว บางคนต้องไปเห็นของจริงนอกโรงเรียน

อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบ STREAM Approach ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ครูแต่ละคนสามารถไปปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของตนได้  แต่ไม่จำเป็นต้องสอนวิทย์-คณิตเท่านั้น แม้จะสอนสังคม ในที่นี้เราเรียกว่า Social Science ก็ถือว่าเป็นวิทย์แขนงหนึ่งเหมือนกัน เช่น เหมือนสอนเรื่องภูมิอากาศ เกี่ยวกับพาทอร์นาโดหรือไต้ฝุ่น มันเชื่อมกับเรื่องแรงดันอากาศในวิทย์ เชื่อมกับผลกระทบในสังคม หรือแม้กระทั่งเชื่อมกับหนังสือ “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ” ด้วยซ้ำ

สำคัญคือ หากเป้าหมายการเรียนรู้รวมถึงทั้งเรื่องเนื้อหาและทักษะสำคัญที่กล่าวตอนต้น เวลาครูจะออกแบบการเรียนรู้อะไร อาจต้องคิดถึงวิธีการและเครื่องมือด้วย และถึงแม้ท่านผู้อ่านไม่ได้เป็นครู แต่ทำงานในองค์กร เชื่อว่าน่าจะนำ STREAMApproach ไปปรับใช้ได้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สอนให้คิดด้วยตรรกะและปัญญา

ใครว่าเรื่องปรัชญาโตเกินไปสำหรับเด็ก เมื่อดิฉันได้อ่านหนังสือ สอนให้คิดด้วยตรรกะและปัญญาโดยนักเขียนชาวเกาหลี ชื่อ Lim, Byung-Gab ซึ่งเขียนคำโปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า “รวมเรื่องสั้นปรัชญาที่ไม่มีปรัชญา พัฒนาความคิดสู่ Active Citizen แถวหน้าของโลก” ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องปรัชญา หรืออย่างน้อยก็คือ การฝึกเด็ก ๆ ให้คิดเกี่ยวกับเรื่องที่คิด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ก่อนจะเล่าให้ฟังถึงรายละเอียด ขอข้ามทวีปไปที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน (Tubingen) ประเทศเยอรมนี รู้ไหมคะว่า ที่นี่เปิดโอกาสให้เด็กอายุ 8-12 ขวบเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้ เรียกว่า มหาวิทยาลัยเด็ก เป็นโครงการพิเศษในช่วยปิดเทอมฤดูร้อน ให้เด็ก ๆ เข้าไปฟังบรรยายจากอาจารย์ระดับศาสตราจารย์ เด็ก ๆ จะได้ทั้งบัตรนักเรียน มีหนังสือ และสามารถฟังบรรยายในหัวข้อที่ตัวเองสนใจได้ เช่น ทำไมไดโนเสาร์จึงสูญพันธ์ ทำไมมนุษย์ต้องตาย และทำไมรูปสลักของกรีกจึงต้องเปลือย

ฟังดูลุ่มลึกใช่ไหมคะ ดิฉันลองอ่านเนื้อหาที่พูดกันในหนังสือ มหาวิทยาลัยเด็ก โดย Ulrich Janben และ Ulla Steuernagel โดยในเฉพาะในบท “ทำไมจึงมีทั้งเศรษฐีและยาจก” ทำให้ดิฉันคิดว่า นี่คือหัวข้อสนทนาของผู้ใหญ่นี่นา แต่ผู้ใหญ่อย่างดิฉันยังไม่เคยนั่งถกประเด็นนี้กับเพื่อน ๆ เลย อาจเคยคิดกับตัวเอง แต่ก็ไม่เคยสำรวจความคิดแบบลงรายละเอียดแม้กับตัวเอง ดิฉันจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ประเสริฐมากที่ประเด็นหนัก ๆ และเป็นความจริงที่น่าเศร้า ถูกยกมาถกเถียงกันในมุมมองบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ แต่ยังอยู่ภายใต้การกำกับโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย ในหนังสือตั้งคำถามว่า อะไรคือเกณฑ์ที่บอกว่าคนนี้รวยหรือจน คนจนในประเทศหนึ่งจะถือว่าจนในอีกประเทศหนึ่งหรือไม่ หากมีเกมบอยเล่นถือว่าเป็นคนรวยไหม ทำไมประเทศที่จนในอดีตถึงร่ำรวยในปัจจุบัน และอีกมากมาย

ไม่ใช่เพียงนักเรียนที่ตื่นเต้นนะคะ แต่บรรดาอาจารย์รุ่นเก๋าตื่นเต้นยิ่งกว่า เรียกว่าตื่นเวทีขึ้นมาทีเดียว เพราะจะถ่ายทอดความคิดออกมาอย่างไรให้เด็กสนใจและเข้าใจ บางคนสารภาพว่าไปเหมาช๊อกโกแล๊ตมาหมดซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อแจกให้กับเด็ก ๆ ระหว่างฟังด้วยนะคะ

แล้วเกี่ยวกับเรื่อง “สอนให้คิดด้วยตรรกะและปัญญา” อย่างไรล่ะคะ มันสำคัญมากที่จะต้องปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้จักตั้งคำถาม

ในบทแรก ผู้เขียนตั้งคำถามว่า เราใช้อะไรมอง ทำไมคนเรามองสิ่งเดียวกันแต่เห็นแตกต่างกัน ซึ่งในบทสรุปเนื้อหาสำหรับครูและผู้ปกครอง ผู้เขียนชี้แจงว่า “เราไม่ได้มองโลกด้วยตา เพราะสิ่งที่เห็นจะถูกแทรกด้วยความคิด ดังนั้นถึงแม้จะมองสิ่งที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนกัน แต่สิ่งที่เห็นจะแตกต่างกันตามความรู้”

ฟังดูเหมือนจับต้องไม่ได้นะคะ แต่สำคัญมากค่ะ ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลง ผู้คนมักมีประเด็นซ้อนเร้นที่สอดแทรกมาในการสื่อสาร  เด็ก ๆ ต้องรู้ตัวว่า เขากำลังเรียนรู้อะไร เขาคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เรื่องที่เขาคิดว่าถูกต้องนั้นถูกต้องสำหรับทุกคนหรือไม่ เรื่องนี้เป็นจริงตามที่ได้ยินหรือได้เห็นหรือไม่ หรือสิ่งที่เขาเข้าใจถูกบิดเบือนไปด้วยประสบการณ์เดิมของเขา

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราส่งเสริมให้เด็ก ๆ ตั้งคำถาม สนทนาในเรื่องที่สนใจกับผู้อื่น เราก็ต้องให้เครื่องมือในการเรียนรู้ด้วยค่ะ สมัยที่ดิฉันเรียนมัธยมปลายที่ รร.นานาชาติดัลลิช ภูเก็ต (ปัจจุบันชื่อ รร.นานาชาติบริติช) พวกเราต้องเรียนวิชา Theory of Knowledge คือทฏษฎีเรื่องความรู้ ซึ่งเป็นวิชาที่เปิดประเด็นสังคมมากมายให้ถกกัน ทำให้รู้ว่ามีคนที่คิดแตกต่าง พิสดาร มากมายเหลือเกิน ซึ่งยากที่จะตอบว่าใครคิดผิดหรือถูก

บางคนบอกว่า ทำไมถึงซีเรียสจัง บางครั้งก็ต้องหยุดคิดบ้างนะคะ มันก็จริงนะคะ แต่ดิฉันคิดว่าในสมัยนี้ คนส่วนมากจะไม่ค่อยได้คิดอะไรน่ะสิคะ ดิฉันขอหยิบยกคำนำของหนังสือเรื่องสั้นสนุกสอน CQ คิดดีคิดเก่ง มาอ้างอิงนะคะ “เพื่อนคนหนึ่งถามเซอร์ไอแซค นิวตันว่า “นายค้นพบกฏของแรงโน้มถ่วงได้อย่างไร” เขาตอบกลับไปว่า “เพราะฉันคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาน่ะสิ” นั่นล่ะ! ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เริ่มต้นง่าย ๆ แค่การครุ่นคิดถึงเรื่องต่าง ๆ นี้เอง”

ข้ามมาที่มหาวิทยาลัยเด็กอีกครั้งนะคะ จากการบรรยายสนุก ๆ 8 ครั้งที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิงในปี ค.ศ. 2003 จนออกมาเป็นหนังสือ มหาวิทยาลัยเด็ก เล่ม 1 ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้มหาวิทยาลัยอีกกว่า 30 แห่งในประเทศเยอรมนี และอีกมากมายในอิตาลี ออสเตรีย นอร์เวย์ สวิสเซอร์แลนด์ จีน ตอนนี้ สสวท. และ สวทช. ก็ได้นำโครงการนี้มาในประเทศไทยแล้วนะคะ

ดิฉันเชิญชวนให้คุณเริ่มโดยการเลือกหัวข้อที่น่าสนใจมากหนึ่งหัวข้อ และเริ่มสนทนากับครอบครัวในโต๊ะทานข้าวเย็นนี้เลยนะคะ 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เป็นครู ม. ต้น แสนลำบาก

“สัปดาห์หน้าครูจะจัด workshop ให้กับเด็ก ม. ต้น รู้ไหมคะว่าการเป็นครู ม. ต้น ไม่สนุกที่สุด เพราะเด็กไม่เอาครู ทำให้กำลังใจน้อย แต่เป็นครูที่มีความสำคัญมาก ... ทำอย่างไร ครูจึงจะเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็ก เห็นใจเด็ก ปกติคนเราก็เข้าใจตัวเองยากอยู่แล้ว ยิ่งตอนช่วง ม. ต้น ยิ่งยากเข้าไปใหญ่”

ถือเป็นครั้งแรกที่ดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ เคยแต่คิดในมุมมองผู้ปกครอง ว่าเลี้ยงลูกวัยรุ่นแสนลำบาก ไหนจะฮอร์โมนพลุ่งพลาน อารมณ์อ่อนไหว สับสน และคล้อยถามเพื่อน แต่ดิฉันไม่เคยมองในบทบาทของครูมาก่อน เมื่อ อ. สุมิตรา พงศธร แห่งโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เปิดประเด็นนี้ ดิฉํนจึงสนใจอย่างมาก
เมื่อได้พบ อ. สุมิตรา อีกครั้ง จึงถามถึงผลของการจัด workshop ว่าเป็นอย่างไร

“เราใช้หัวข้อว่า Bridge the Gap ปิดช่องว่างระหว่างครูชั้น ป. ต้น – ม.ต้น – ม.ปลาย เปิดใจครูให้ตระหนักว่าเด็กกำลังเปลี่ยนแปลง เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนเด็กสมัยก่อนแล้ว หลายครั้งที่เรารู้จักนักเรียนของเราในภาพหนึ่งตอนอยู่ ป. 6 แต่พอขึ้น ม. 1 เด็กเปลี่ยนไป เป็นเรื่องธรรมดา เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจเพื่อนครูให้เตรียมรับมือกับความหลากหลาย

สิ่งสำคัญ คือ ต้อง Bridge the Gap ในตัวเอง หากเราจะสอนให้นักเรียนรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เราทำได้หรือยัง หากครูขาดความเข้าใจในสถานการณ์ ความเครียดที่ครู ม. ต้น ต้องรับมือกับเด็กวัยรุ่น อาจสะท้อนให้ครูออกอาการกับเด็ก กับเพื่อนครู และกับตัวเองได้”

อ. สุมิตรา พูดถึง ทฤษฎีความต้องการ 5 ขั้น ของ มาส์โลว์ (Marslow’s Hierarchy of Needs) กับการเรียนรู้ ซึ่งดิฉันคิดว่าน่าสนใจมาก จึงไปอ่านบทความต่อใน www.teacherstoolbox.co.uk ซึ่งพูดถึงความต้องการ 5 ขั้นในบริบทของโรงเรียน ดิฉันขอแปลตามภาษาของตัวเองนะคะ
     The Physiological Needs (ด้านร่างกาย) – นักเรียนได้รับอาหาร น้ำ อากาศ เพียงพอ ไม่หิวโหยทางกาย 
     The Safety Needs (ด้านความปลอดภัย) – นักเรียนรู้สึกปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รู้สึกมั่นคง 
     The Belongingness and Love Needs (ด้านมีความรักและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม) – นักเรียนรักตัวเองและผู้อื่น เชื่อใจเพื่อนและครอบครัว รู้สึกมีส่วนร่วม ไม่รู้สึกเหงาหรือแปลกแยก ไม่รู้สึกว่าต้องทำตัวเหมือน “คนอื่น” 
     The Esteem Needs (ด้านความมั่นใจ) นักเรียนมั่นใจ เชื่อ และเคารพตัวเอง กล้าลองสิ่งใหม่ เอื้อเฟื้อกับเพื่อน ไม่กลัวแพ้ ไม่กลัวจำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ออกอาการโกรธรุนแรงเมื่อไม่ได้รับการเคารพจากผู้อื่น 
     The Self-Actualisation Needs (ด้านความเข้าใจตัวเอง) นักเรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพของตัวเอง ตามความสนใจและ passion กล้าลอง คิดเองได้ หาตัวตนเจอ ยินดีมีส่วนร่วมในสังคม ชีวิตมีความหมาย
บทความชิ้นนี้ชวนเราตั้งคำถามว่า หากมีนักเรียนคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมมีปัญหา เป็นไปได้ไหมที่เขารู้สึกแปลกแยก ไม่มั่นใจและไม่เข้าใจตัวเอง และเราในฐานะครูควรทำอย่างไร

ประเด็นของ อ. สุมิตรา คือ เราก็ต้องมองเรื่องนี้ในบริบทของผู้ใหญ่ด้วย ดิฉันจึงขอเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในองค์กรอื่นด้วยเลยนะคะ องค์กรต้องทำอะไรที่เติมเต็มความต้องการ 5 ขั้นให้กับทีมงาน และพวกเราจะต้องทำอะไรถึงจะเติมเต็มสิ่งนั้นให้กับตัวเอง

โจทย์สำคัญ คือ เราจะ Bridge the Gap ในตัวเองได้อย่างไร เพราะหากปิดช่องว่างนี้ไม่ได้ เราคงไปปิดช่องว่างนี้กับคนอื่นไม่ได้แน่ ๆ ดิฉันขอยก ดร. กุลชาติ จุลเพ็ญ เป็นตัวอย่าง โดยขอใช้คำนำจากหนังสือ ดอกเตอร์จากกองขยะ คือ “จากเด็กบ้านแตกที่พ่อแม่แยกทางกัน จากเด็กเร่ร่อน ...ขอทาน...ขโมยผลไม้ไปจนถึงเงินในตู้เกม...แต่ด้วยความรักที่เขามีต่อแม่...จนตอนนี้เรียนจบดอกเตอร์จากญี่ปุ่น เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนวิศวกรรมที่ราชมงคลธัญญบุรี” เห็นไหมคะ เราต้องเริ่มจากตัวเองจริง ๆ

ขอขอบพระคุณ ดร.กุลชาติ สำหรับแรงบันดาลใจ ขอชื่นชม อ. สุมิตรา แห่งโรงเรียนมาแตร์เดอี ที่จัดกิจกรรมดี ๆ เช่นนี้ให้กับคณะครู และขอเป็นกำลังใจให้ครู ม. ต้นทุกคนในประเทศไทยค่ะ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไม่เอานมได้ไหม

ใครจะรู้ว่า ณ ชายแดน ไทย-พม่า จะมีโรงเรียนเกรดเอตั้งอยู่ เจ้าของกล่าวอย่างภูมิใจว่าเป็นโรงเรียนที่แพงที่สุดในพื้นที่ อนุบบาล 15,000 ประถม 25,000 แต่เมื่อดิฉันเห็นครั้งแรก นึกว่าค่าเทอมจะแพงกว่านั้น โรงเรียนแห่งนี้สอน 3 ภาษา (ไทย อังกฤษ จีน) รองรับทั้งนักเรียนไทย จีน และพม่า มีห้องคอมพิวเตอร์อย่างดี ห้องเรียนทุกห้องมีแอร์ โรงเรียนสะอาดสะอ้าน ที่สำคัญ เจ้าของลงเอง

“กว่าสิบปีก่อน พี่มาเที่ยวที่ชายแดน และสัญญากับตัวเองว่า จะกลับมาพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้ดี ด้วยการสร้างโรงเรียน” สิบปีผ่านไป หุ้นส่วนถอนทุน เพราะการทำโรงเรียนให้ดี ไม่ได้กำไร (เร็ว) อย่างที่ดี “ถ้าคุณสังเกต พี่เพิ่งทำห้องคอมพิวเตอร์ใหม่ ... และสิ่งสำคัญ คือ ครูต้องดี เพราะฉะนั้น หากจะให้ครูดี ๆ อยู่กับเรา เราต้องดูแลให้ดี” เพราะฉะนั้น ค่าเทอมทั้งหมดจะเอามาลงกับการพัฒนาครู และการพัฒนาโรงเรียนทั้งหมด

ดิฉันประทับใจเจ้าของท่านนี้ เพราะท่านทิ้งชีวิตนักการศึกษาในอเมริกา ทิ้งสามีและลูกทั้ง 3 (กระจัดกระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพและอเมริกา) มาทำโรงเรียนที่ชายแดนไทย – พม่า แห่งนี้ “บางครั้งเงินไม่พอ พี่ก็จะยืมสามี” แหม สามีของพี่ช่างใจกว้างเหลือเกิน

ความจริงดิฉันก็ตั้งใจไปขายนวัตกรรมการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนนี้แหละค่ะ แต่คุยกันถูกคอเหลือเกิน
“คิมน่าจะไปต่อรองกับรัฐบาลว่า แทนที่จะบังคับให้พี่ซื้อนมแจกเด็ก ขอผันงบประมาณมาซื้อของของคิมดีกว่า ปีหนึ่ง พี่ถูกบังคับซื้อนมหลายแสน และต้องซื้อกับเจ้าที่เขากำหนด ซื้อมาเด็กก็ไม่กิน เพราะเดี๋ยวนี้พ่อแม่หลายบ้านก็ไม่ให้ลูกกินนมวัว ให้กินแต่นมถั่วเหลือง”

“ไม่ใช่แค่นมนะคะ โรงเรียนอย่างพี่ยังถูกบังคับให้ต้องซื้อสมุด ดินสอแจกเด็กด้วย ทุกปีต้องแจกชุดนักเรียน 1 ชุด” ถึงแม้ฟังดูเหมือนเป็นสิทธิพื้นฐานที่นักเรียนทุกคนควรได้ ให้ก็ดีไม่ใช่หรือคะ

“การให้คงต้องดูบริบท นักเรียนโรงเรียนนี้มีสมุดดินสอของตัวเองอยู่แล้ว เงินก้อนนี้สามารถนำมาบริหารจัดการ หาสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับโรงเรียนของเราอย่างมีประสิทธิผลมากกว่า ทำไมพี่ต้องเอาเงินก้อนที่ควรจะช่วยโรงเรียนจัดการเรียนรู้ให้ดี มาซื้อสมุดดินสอ จากร้าน...เท่านั้น หากไม่ซื้อแบบที่กำหนด ก็ไม่สามารถไปเบิกเงินที่นักเรียนพึงจะได้ใช้ประโยชน์ มาใช้ให้เหมาะกับบริบทของโรงเรียน”

กลับมาเรื่องเจ้าของท่านนี้ดีกว่าค่ะ ท่านทิ้งบ้านที่กรุงเทพมา ตอนนี้พักในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในหอพักครูและนักเรียน ปิดเทอมทีก็กลับบ้านไปหาครอบครัว ปีนี้ท่านก็อายุ 63 ปีแล้ว แต่ดูแข็งแรงทั้งใจและกาย การทำโรงเรียนที่ชายแดนไม่ง่าย เทอมนี้มีนักเรียนหกล้มหัวแตก พี่ก็พาขับรถเข้าเมืองอีก 30 กม. ไปให้หมอเย็บ และพี่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เพราะหากพี่ไม่สบาย พี่ก็ต้องเข้าเมืองเหมือนกัน

“การที่ส่วนกลางดูแลโรงเรียนเอกชน บ้างก็เป็นเรื่องดี แต่พี่คิดว่าใช้งบประมาณแบบนี้ไม่มีประสิทธิผล จ้างคนมากมายทั้งในกรุงเทพและในพื้นที่ ด้วยวัตถุประสงค์ให้มาช่วยโรงเรียน แต่ให้ช่วยอะไร และคนเหล่านี้มีความรู้ความสามารถที่จะช่วยพัฒนาจริง ๆ หรือไม่ นี่คือคำถาม งบเหล่านี้เอามาให้โรงเรียนพัฒนาครู สรรหาสื่อการเรียนการสอนที่ดีไม่ดีกว่าหรือ”

เพราะฉะนั้น หากกลับมาเรื่องเดิม “พี่ขอไม่เอานม ไม่เอาสมุดดินสอได้ไหมคะ คิมไปคุยกับในกระทรวงได้ไหมคะ” เอ่อ ... ดิฉันก็เป็นเพียงคนผู้น้อย อย่างมาก ได้ฟังก็เอามาเล่าต่อค่ะ แต่การสนทนาครั้งนี้ทำให้ดิฉันครุ่นคิดพอสมควร ทั้งเรื่องสิทธิพื้นฐานของนักเรียน เพราะคงไม่ใช้ผู้บริหารโรงเรียนทุกโรงจะคิดเป็น รู้จักสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักเรียนอย่างเจ้าของท่านนี้ บางครั้งส่วนกลางก็ต้องบังคับเรื่องที่เป็นพื้นฐานเหมือนกัน

แต่อีกมุมหนึ่ง ดิฉันก็เห็นอยู่ว่านักเรียนที่นี่มีสมุด ดินสอ พร้อมอยู่แล้ว นมก็คงกินกันมาจากที่บ้าน หรือกินตาม “ทางเลือก” ของแต่ละครอบครัว หากโรงเรียนสามารถแปรงบพวกนี้มาใช้ในเรื่องอื่น น่าจะเป็นประโยชน์กว่านี้ คุณล่ะคะคิดอย่างไร

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อาชีพครูไม่สามารถหยุดยั้งเวลาได้

“หากครูลา 3 ชั่วโมง เด็กก็โง่ไป 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น หากครูจะลากิจ ต้องสลับคาบสอนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถึงจะลาได้” วันก่อนมีโอกาสนั่งสนทนากับ อ.ศิลป์ชัย สัมพันธ์พร ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลชลบุรี คุยสนุกถูกคอมาก เลยมาเล่าต่อให้ฟังนะคะ

“จะเห็นได้ว่า ผอ. ไม่ค่อยออกไปซู่ซ่านอกโรงเรียนเท่าไร เพราะทุกครั้งที่ ผอ. ไม่อยู่ คุณภาพการสอนของครูจะลดถอยประมาณ 10% ผอ. จะเดินทั่วโรงเรียน เดินผ่าน ครูก็จะสะดุ้ง บางครั้งเห็นครูสอนน่าเบื่อ ก็จะเข้าไปช่วยสอนด้วย ครูบางคนทดสอบสูตรคูณได้ทีละ 1 คน แต่ผอ. ทดสอบได้ทีละ 3-4 คนนะ คือ คนหนึ่งยืนข้างซ้าย ใช้หูซ้ายฟัง คนหนึ่งยืนข้างขวา ใช้หูขวาฟัง อีกคนยืนข้างหน้า ใช้ตาดู บางครั้งให้คนที่ท่องเสร็จแล้วมายืนข้าง ๆ ช่วยให้ฟังช่วยกันดูอีก”

แหมเทคนิคแพรวพราวนะคะ “ผอ. คิดว่า หากเราต้องการให้ครูสอนอย่างไร ครูต้องถูกสอนอย่างนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือ ในมหาวิทยาลัย อาจารย์บอกนักศึกษาว่า เวลาสอนต้องจัดกิจกรรมกับนักเรียนนะ แต่ผอ. ขอถามหน่อยว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยเหล่านั้น เคยจัดกิจกรรมกับนักศึกษาหรือไม่ เมื่อไม่สอนอย่างที่พูด เมื่อนักศึกษาเรียนจบมา เขาจะมาสอนแบบจัดกิจกรรมได้อย่างไร ผอ. สัมภาษณ์ครูเองทุกคน ล้วงลูกมาเยอะ หลายครั้ง อาจารย์มหาวิทยาลัยบอกนักศึกษา “ให้ไปค้นมา” แต่เคยสอนไหมว่า ควรค้นด้วยหลักการอะไร

“จุดเน้นของโรงเรียนเรา คือ เด็กต้องดี เก่ง แข็งแรง และอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตย เราเชื่อเรื่องการเรียนรู้แบบองค์รวม ผอ. ไม่ได้รู้มาก แต่ผอ. อ่านหนังสือมาก อ่านมาแล้วทุกทฤษฎีการศึกษา” ว่าแล้ว ท่านก็เล่าแต่ละทฏษฎีที่ท่านเห็นด้วยให้เราฟัง ฟัง ๆ ไปต้องแอบบอก ผอ. ว่า เราคิดเหมือนกันในหลายเรื่อง หากคิมเปิด powerpoint ของสถาบันนานมีบุ๊คส์อินโนเวชั่นให้ ผอ. ดู ท่านจะเซอร์ไพรส์ ที่เห็น key word หลายคำที่ตรงกัน สุดยอดมาก

“ผอ. สนับสนุนการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และ science show ซึ่งต้องใช้เงินเยอะมาก แต่สำคัญ เพราะทักษะจะติดตัวไปกับเด็ก ไม่ train เพียงเรื่องวิทย์ แต่ครูของเราเชิญนักมายากลมา train นักเรียนเรื่องการนำเสนอให้สนุกด้วย สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ การฟัง ทำอย่างไรให้ฟังจับใจความได้ ฟังรู้เรื่อง ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ผอ. ก็เชิญ อ. เจริญ บวรรัตน์ จาก ม. เกษตร มาช่วยวางวิธีการ คือ ตอนนี้เด็กอนุบาลทำกิจกรรมสมาธิทุกวัน แต่ไม่ใช่นั่งสมาธินะ แต่ทำกิจกรรมสมาธิกับกระดาน 9 ช่อง

ผอ. เล่าให้เราฟังว่า บทบาทสำคัญของการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน คือ การหาเงินคงกระพัน “รัฐให้เงินมา 6 ล้าน แค่ค่าไฟโรงเรียนเราก็เดือนละ 400,000 บาท คูณเข้าไปก็ปีละ 4.8 ล้าน ที่เหลือซื้อชอล์คยังไม่พอ” พูดแล้วทุกคนก็ฮาตรึม ถ้าไม่มีเงินมาพัฒนาโรงเรียน โอกาสที่จะโตหรือจะดีนั้นยากมาก เพราะคู่แข่งเยอะแยะไปหมด “ผอ. กล้าพูดเลยว่าโรงเรียนของเราดีที่สุดในจังหวัด เราลงทุนด้านสื่ออุปกรณ์ให้ทันสมัย เราลงทุนพัฒนาครู ยินดีจ้างวิทยากรแพง ๆ ดี ๆ มาอบรมครู ส่งครูไปเรียนต่างประเทศ ผอ. คิดว่าครูต้องฉลาดกว่าเดิม อบรมแต่ละที เก่งขึ้น 5% ก็หรูแล้ว อบรม 3 ครั้งก็เก่งขึ้น 15% ผอ. ก็ดีใจแล้ว”

“ตอนที่ ผอ. ได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนครั้งแรก คือ ที่โรงเรียนบ้านโสม แถวบ้านบึง โรงเรียนมีเงินเหลือแค่ 65 บาท ภายในสองปี ผอ. บริหารให้โรงเรียนมีเงินเป็นแสน เช่น ตอนนั้นเงินน้อย ครูเสนอให้ไปซื้อสับปะรด ผอ. กลับไปซื้อหน่อสับปะรด ได้มา 49,000 บาท ให้เด็กกิน แล้วเอาที่เหลือไปขาย สุดท้ายได้แสนกว่าบาท ทีหลัง ผอ. สามารถทำกับข้าวให้เด็กกินฟรีทุกวัน ทำให้เด็กอยากมาโรงเรียน เพราะได้กินข้าวอร่อย บางวัน เด็กคนไหนไม่มา ผอ. ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถึงบ้าน เห็นผู้ปกครองนั่งเล่นไพ่  ผอ. ด่าเลยว่า หากคุณไม่เป็นตัวอย่างให้ลูก แล้วลูกจะเป็นคนดีได้อย่างไร ผู้ปกครองกลัว ผอ. กันหมด

ผอ. เคยทำโครงการให้ผู้ใหญ่ใจดีเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก ไม่ต้องทำมานะ เอาเงินมา เราให้คนงานที่โรงเรียนทำ พอมีเงิน เราก็ได้ทำแบบดีหน่อย ยังจำได้เลย ครั้งแรกเลี้ยงข้าวหมูแดง เด็กกินข้าวหมูแดงไม่เป็น ทำหน้าเบ้กันหมด ผอ. ก็เดินคุม “กินเข้าไป” จนสุดท้าย ทุกคนชอบกินข้าวหมูแดง”

จริง ๆ นะคะ ทำโรงเรียนให้ดีนั้นไม่ง่าย ต้องใช้เงินเยอะ และต้องกล้าลงทุน ดิฉันเคยเขียนบทความชิ้นหนึ่ง ชื่อ “มีข้าวกิน หรือกินข้าวอร่อย” เพื่อสะท้อนว่า ตอนนี้เพียงแค่จัดการศึกษานั้นไม่พอแล้ว ต้องจัดการศึกษาที่ดีด้วย ซึ่งต้องลงทุน

วันก่อนดิฉันได้คุยกับซิสเตอร์โรงเรียนหนึ่ง ท่านเพิ่งย้ายมาอยู่โรงเรียน xxx ได้ 6 เดือน ท่านปรับทุกข์ให้ฟังว่า จากที่โรงเรียนของท่านเคยเป็นอันดับหนึ่งของจังหวัด แต่เพราะขาดการพัฒนา นึกว่าดีอยู่แล้ว โรงเรียนซิสเตอร์มีนักเรียนสามพันคน โรงเรียนข้างบ้านมีหกร้อยคน ตอนนี้เหลือเพียงพันกว่าคนแต่ข้างบ้านมีสองพันคนแล้ว สมัยก่อนอนุบาลของท่านเฟื่องฟู มีนักเรียนสามร้อยคน ตอนนี้เหลือแค่หกสิบคนเอง ทำให้ดิฉันคิดว่า วงการโรงเรียนก็เหมือนกับโกดักนะคะ หากไม่ระวัง ฟิล์มก็โดนทดแทนโดยกล้องดิจิตอลโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับโรงเรียน หากไปพัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะลำบากได้เช่นกัน

จึงขอปิดท้ายด้วยคำพูดของ ผอ. ศิลป์ชัยว่า “อาชีพครูไม่สามารถหยุดยั้งเวลาได้ อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์” ขอให้ PDCA Plan Do Check Act ไปอย่างไม่หยุดยั้งนะคะ สู้สู้ค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มีข้าวกิน หรือกินข้าวอร่อย

“สิ่งที่คุณเสนอมามันจำเป็นไหม โรงเรียนเราต้องมีหรือไม่ ... ไม่ต้องมีก็ได้นี่”

บางท่านคงทราบว่าดิฉันขยายงานจากธุรกิจหนังสือที่คุณแม่ก่อตั้งมาเปิดสถาบันนานมีบุ๊คส์อินโนเวชั่น เพื่อนำเสนอนวัตกรรมการเรียนรู้ให้กับโรงเรียน ทำให้มีโอกาสพบผู้ใหญ่ในวงการศึกษามากมาย ส่วนมากจะรู้สึกหัวใจพองโต ชีวิตเต็มไปด้วยความหวัง และบางครั้งจะรู้สึกหดหู่ ทำไมถึงใจแคบเหลือกัน

คุณแม่ดิฉันเคยเล่าว่า เมื่อท่านเปิดสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ใหม่ ๆ ท่านเอานิตยสาร Go Genius ไปเสนอผู้ใหญ่ในกระทรวง ได้รับคอมเม้นท์ว่า “นิตยสารชุดนี้ดีมาก เหมาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเรา ไม่จำเป็นต้องมีหนังสือจำพวกนี้หรอก เด็กไทยอ่านแค่แบบเรียนก็พอ” หลักจากถกเถียงกันสักพัก คุณแม่ก็โดนตะโกนไล่ให้ออกไปจากกระทรวง ไม่ต้องกลับมาอีก!

เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวปลุกใจให้พวกเราไม่ยอมแพ้ ต้องพิสูจน์ให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นทราบให้ได้ว่า เขาคิดผิด!
20 ปีผ่านไป ไม่อยากเชื่อว่ารุ่นลูกอย่างดิฉันยังจะได้เจอสถานการณ์เดิม ๆ ดิฉันเดินออกมาด้วยความเสียใจ ดิฉํนสรรหาของดีมานำเสนอ นอกจากไม่เอาแล้ว ยังพูดดูถูกจนเหมือนว่าดิฉันมาขอเขากิน เรื่องนี้ทำให้ดิฉันคิดถึง 2 ประเด็นค่ะ คือ อะไรคือสิ่งที่จำเป็น และทำอย่างไรความสัมพันธ์ของผู้ซื้อผู้ขายจะเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์แบบพาร์ทเนอร์ได้

สำหรับประเด็นแรก ดิฉันได้มีโอกาสเม้าท์เรื่องการศึกษากับ คุณมาสวิมล รักบ้านเกิด ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร ฟังแล้วถูกใจมากค่ะ ท่านบอกว่า ในยุคประธานเหมา มีนโยบายว่าทุกบ้านต้องมีข้าวกิน ต่อมาในยุคเติ้งเสี่ยวผิงออกนโยบายว่าทุกบ้านต้องได้กินข้าวอร่อย “ในบริบทการศึกษา เราจะพึงพอใจกับเพียงให้นักเรียนได้เรียน หรือเราอยากให้นักเรียนได้เรียนแบบสนุกสุดยอด แบบ hands-on และได้ปฏิบัติจริง!

สำหรับประเด็นที่สอง อ. วัชรพงษ์ อภิญญานุรังสี แห่งโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เคยเล่าให้ดิฉํนฟังว่า ท่านทำวิจัยเกี่ยวกับการตลาด 2.0 ... สงสัยใช่ไหมคะว่าคืออะไร ... มันก็คือการตลาดแนวใหม่ ที่ต้องอาศัย partnership ให้เกิดการ win-win เพราะไม่มีใครเพอร์เฟ็กท์ แต่คนที่ฉลาดคือคนที่จับ “สุดยอด” ของแต่ละเรื่องมารวมกัน เราไม่ต้องทำเองทั้งหมด เพราะฉะนั้น พวกเราแต่ละคนก็ต้องพัฒนาตัวเองในอุตสาหกรรมตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อจะได้เป็น missing piece (ชิ้นส่วนที่หายไป) ไปเติมเต็มจิ๊กซอว์ภาพใหญ่อีกที

และถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่ากทม. ถึงทิศทางการศึกษาไทย ท่านพูดถึงหลายประเด็นที่ตอกย้ำทิศทางของนานมีบุ๊คส์ ทำให้ดิฉันดีใจมาก ท่านเห็นด้วยกับเรื่อง partnership และท่านก็เห็นด้วยเรื่องการเรียนรู้แบบบูรณาการ บูรณาการทั้งมิติของสาระวิชา มิติของสื่อการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ค่ะ

ดร.ผุสดี บอกว่าตอนนี้เราจะแยกการเรียนวิทยาศาสตร์กับสังคมศาสตร์ออกจากกันไม่ได้แล้ว เช่น เราคงไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เพียงแค่ให้รู้เนื้อหาวิทยาศาสตร์นั้น ๆ อีกต่อไป แต่ต้องพูดถึงว่าวิทยาศาสตร์มีผลกระทบต่อสังคม ต่อชีวิตของเราบ้าง และมันเชื่อมโยงกับจริยธรรมอย่างไร หากเราผูกเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ จะทำให้คนไทยเป็นพลเมืองที่ดี คิดเป็น คิดไกล

ตัวอย่างเช่น ก่อนแต่งงาน คู่สามีภรรยาควรตรวจเลือด เพื่อเข้าใจสภาพสุขภาพของกันและกัน เพราะหากต้องการมีลูก และคนหนึ่งเป็นธาลัสซีเมีย ก็ควรจะพูดคุยกันว่าควรมีวิธีป้องกันอย่างไร เพราะลูกมีสิทธิ์เป็นธาลัสซีเมียด้วย เป็นต้น แต่หากไม่คิดอะไรมาก (ซึ่งปัญหาของประเทศเราก็คือ ไม่ได้คิดอะไรมาก สบาย ๆ ) ก็จะมีลูกไปโดยไม่รู้ว่าลูกอาจจะเป็นโรค และหากไม่พร้อม (ทั้งด้านการเงิน สังคม ฯลฯ) ก็จะเกิดปัญหาในครอบครัวได้

เรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่างว่า หากเราช่วยให้ระบบการศึกษามีวิธีปลูกฝังให้เด็กไทยเข้าใจวิทยาศาสตร์ เข้าใจผลกระทบต่อสังคม เข้าใจเรื่องความถูกต้อง จริยธรรม ก็จะทำให้การตัดสินใจในการดำรงชีวิตมีคุณภาพมากขึ้น

ดิฉันโชคดีมากที่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการศึกษากับ “ครู” ที่มีคุณภาพดังเช่น ดร. ผุสดี อ.มาสวิมล และ อ. วัชรพงษ์ มันทำให้ดิฉันมีความเชื่อว่า ประเทศไทยเรามีหวังแน่นอน และขอให้ทุกคนที่ทำงานด้านการเรียนรู้อย่ายอมแพ้เด็ดขาดนะคะ

ดิฉันจึงขอชวนทุกท่านคิดต่อว่า “มีข้าวกิน หรือได้กินข้าวอร่อย” ในบริบทของท่านมีความหมายกับท่านอย่างไร และท่านจะทำอะไรให้ “ข้าวของท่านอร่อย” นะคะ


วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ธรรมชาติแสนลี้ลับและพิศวง

คุณเคยมองใบไม้ที่หลุดมาจากกิ่ง ปลิวลงมาผ่านสายตา จนกระทบลงบนพื้นดินไหมคะ

เคยไม่เคยไม่รู้ แต่ดิฉันไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเคยเห็น จนกระทั่งมาเดินป่าที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่านค่ะ ปรากฏการณ์ที่แสนจะเรียบง่าย ทำให้ดิฉันตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติรอบตัว จนนึกถึงหนังสือเรื่อง “ธรรมชาติแสนลี้ลับและพิศวง” โดย Elizabeth Dalby ที่เคยอ่านเมื่อสิบปีที่แล้ว เพราะในขณะที่เห็นใบไม้เป็นสิบเป็นร้อยใบร่วงลงมา ทำให้นึกถึงเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก เรื่องความเร็วของลม เรื่องน้ำหนักของใบ และอีกมากมายสไตล์คนช่างสงสัย

อย่างที่เรามักพูดกันว่า “การเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์แบบท่องจำนั้นไร้ความหมาย หากเด็ก ๆ ไม่มีโอกาสได้ประสบความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ด้วยตัวเอง” การมาเที่ยวน่านครั้งนี้ตอกย้ำความคิดนี้อย่างแรงค่ะ

ระหว่างเดินป่า พี่สามารถ ไกด์คนเก่งของเราก็เอาเปลือกไม้จากต้น “กำลังเสือโคร่ง” มาให้ลองจับและดม พบกว่าใต้เปลือกไม้มีลักษณะคล้ายมะพร้าวอ่อน แต่สีออกเหลือง มีกลิ่นเหมือนยาหม่อง จึงได้รู้ว่าเปลือกของ “กำลังเสือโคร่ง” มีสรรพคุณถอดพิษ และเป็นที่นิยมมาต้มยาดองค่ะ

เดิน ๆ ไป พี่สามารถก็เอาเปลือกไม้อีกชิ้นมาให้ดม กลิ่นเหมือนตะไคร้ พี่สามารถก็บอกว่านี่คือต้นตะไคร้ พวกเราล้วนสงสัยว่าตะไคร้มีลำต้นสูงใหญ่อย่างนี้หรือ นึกว่าโตเป็นพุ่ม ๆ กอ ๆ เสียอีก กลับมาถึงที่พัก ก็ถามอากู๋กันใหญ่ค่ะ พบว่าต้นที่เราเจอเรียกว่า “ตะไคร้ต้น” ซึ่งเป็นคนละแบบกับที่คิดไว้ แต่คนเหนือก็เอามาทำต้มยำได้เหมือนกันค่ะ

วันนี้ดิฉันมีโอกาสล่องแก่งในแม่น้ำว้า ตลอด 48 กม. ได้เห็นถึงความสมบูรณ์และสวยงามของป่าดงดิบ หินประเภทต่าง ๆ กุมภลักษณ์รูปทรงแปลก ๆ (potholes) และทางน้ำโค้งตวัด (meander) ล้วนทำให้คิดถึงสมัยเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ว่าหากตอนนั้นได้มีโอกาสมาสัมผัสกับของจริง จะเรียนอย่างเข้าใจและสนุกสุดยอดกว่าเดิมขนาดไหน

ประสบการณ์ที่ได้เห็นล้วนกระตุกต่อมเอ๊ะให้อยากศึกษาต่อ เช่นเดียวกับสร้างแรงบันดาลใจให้อยากสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมายค่ะ

นักเขียนชาวจีนชื่อดัง “หยูหัว” (เจ้าของผลงาน “พี่กับน้อง” และ “สิบคำนิยามจีน”) เคยเชิญครอบครัวของดิฉันไปเที่ยวบ้านเกิดของเขาที่หางโจว บ้านของเขาสวยงาม อยู่ในป่าไผ่ ติดลำธาร นั่งนิ่ง ๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำไหล

รู้ไหมคะ รัฐบาลหางโจวสร้างบ้านหลังนี้ให้ “หยูหัว” และศิลปินอีกหลายท่านสำหรับโครงการหมู่บ้านศิลปิน เพื่อดึงดูดให้ศิลปินชาวหางโจว ที่อาจย้ายถิ่นไปอยู่เมืองหรือประเทศอื่น กลับมาสร้างสรรค์ผลงานที่หางโจว ทำให้เห็นว่าประเทศจีนให้ความสำคัญกับศิลปะและวัฒนธรรมอย่างมาก ถึงแม้ว่าเรามักจะตั้งคำถามกับความมี “วัฒนธรรม” ของคนจีนปัจจุบันหลังปฏิวัติวัฒนธรรมก็ตาม นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดิฉันชื่นชมรัฐบาลจีนอย่างมากค่ะ

ถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่ใช่ “หยูหัว” แต่เมื่อดิฉันได้ประสบสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ ดิฉันก็อยากรีบกลับมาเขียนเล่าต่อให้ทุกท่านได้อ่านกันเลยค่ะ

และไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็นนะคะ สิ่งที่ได้ยินยังน่าประทับใจไม่แพ้กัน ระหว่างที่พวกเราลอยคำตามน้ำ ดิฉันลองหลับตาและฟังเสียง ได้ยินเสียงน้ำตก เสียงนกร้อง เสียงใบไม้เสียดสี และเสียงลมพัด ทำให้ดิฉันนึกถึงคำพูดของคุณวิศาล เอกวานิช เจ้าของอาคาร “รู้ศึกษา รู้สึกตัว จังหวัดภูเก็ตค่ะ คุณวิศาลสอนให้พวกเราฝึกที่จะ “รู้สึกตัว” เช่น เวลานั่งอยู่ข้างนอก ให้หลับตา แล้วรู้สึกถึงเมื่อลมพัดมาสัมผัสผิวหน้า จะทำให้เรารู้ตัวมากขึ้น เมื่อถูกปลุกเร้า เช่น อารมณ์โกรธ เราก็จะรู้ตัว และเลือกที่จะโต้ตอบได้ ว่าต้องการจะโต้ตอบอย่างไร อย่างแรง หรือด้วยความเข้าใจ

หากมีโอกาส ดิฉันขอเชิญชวนให้คุณพาลูกหลาน (หรือพาตัวเอง) ลองใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการลิ้มรสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ลองตั้งคำถามว่าเห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้สึกอะไร และดิฉันขอแนะนำให้ลองอ่านหนังสือเรื่อง “ปิดตา เปิดหน้าต่าง” ของ เหงวียน หง๊อก ถ่วน ด้วยนะคะ


การมาเที่ยวน่านครั้งนี้ย้ำเตือนดิฉันว่า “ธรรมชาติแสนลี้ลับและพิศวง” หากเราเปิดใจน้อมรับมัน ดิฉันเชื่อว่าเราจะดีใจที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้ มีแรงบันดาลใจ และสามารถมองโลกอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง (อย่างน้อยก็ไม่มากจนเกินไปค่ะ)

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

รู้ไหมว่าประเทศญี่ปุ่นมีธุรกิจครอบครัวจำนวนมากที่สุดในโลก มีบริษัทที่มีอายุมากกว่า 200 ปีมากกว่า 3,000 ราย ตามมาด้วยเยอรมนี (1,500 กว่าราย) และฝรั่งเศส (ประมาณ 330 ราย)

ดิฉันและคุณแม่มีโอกาสไปเยี่ยมชมธุรกิจครอบครัวในประเทศญี่ปุ่นกับโครงการ KFamClub ของธนาคารกสิกรไทย คณะของเรามีทั้งหมด 13 ครอบครัวจากหลายวงการ ล้วนสงสัยว่าทำอย่างไรธุรกิจครอบครัวจึงส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน

ก่อนไปเล่าให้เพื่อนฟังว่าจะได้ไปพักโรงแรมที่สืบทอดกันมากว่า 40 รุ่น เพื่อนแซวว่าดิฉันโอเว่อร์ เพราะนั่นหมายถึงเป็นพันปี ไม่น่าจะเป็นได้ พูดเองงงเอง สงสัยจะจำผิด

เมื่อไปแล้วพบว่าตัวเลขอาจจะผิด แต่แก่นของเรื่องไม่โอเว่อร์ พวกเราได้ไปแบ่งปันประสบการณ์กับ คุณซาโต้ คันซาบูโร่ ประธานรุ่นที่ 34 ของเรียวกังเก่าแก่ชื่อ “ซาคัน” ในเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ ปีนี้ครบรอบ 1,009 ปี ถึงแม้จะเกินพัน แต่เก่าไม่ที่สุด เพราะเก่าเป็นอันดับ 4 เท่านั้นค่ะ คุณซาโต้บอกว่าความจริงอาจมีมากกว่า 34 รุ่น แต่จะนับเฉพาะประธานที่เป็นผู้ชายเท่านั้น!

คุณซาโต้เป็นลูกเขยที่ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอด เปลี่ยนชื่อมา 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนแต่งงานเข้ามาให้ตระกูล ต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ซาโต้” ให้เหมือนภรรยา และเริ่มเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัว

เปลี่ยนชื่อครั้งที่สอง คือ เมื่อได้เลื่อนขั้นเป็นประธาน คราวนี้ต้องเปลี่ยนชื่อจริงให้เป็น คันซาบูโร่ เพราะประธานของ “ซาคัน” ทั้ง 33 รุ่นก่อนหน้านี้มีชื่อเดียวกัน คือ ซาโต้ คันซาบูโร่ และที่เรียวกังแห่งนี้มีชื่อว่า “ซาคัน” เป็นการเอาคำแรกของชื่อและนามสกุลมาต่อกัน

ในการเปลี่ยนชื่อในแต่ละครั้งใช้เวลา 6 ปีในการวิ่งเข้าออกในศาลครอบครัว ถือไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการสืบทอดธุรกิจครอบครัวสไตล์ญี่ปุ่น เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ดิฉันคิดถึงบทละครของเชคสเปียร์เรื่อง “โรมิโอและจูเลียต” เมื่อมีการพูดถึง “What’s in a name … ชื่อนั้นสำคัญไฉน”

หากไม่ใช้ชื่อเดียวกันจะทำให้การสืบทอดลดหย่อนคุณภาพหรือไม่ เมื่อเปลี่ยนชื่อ ตัวตนของเราเปลี่ยนด้วยไหม หรือชื่อก็คือชื่อ ตัวตนของเราก็คือตัวตนของเรา ดิฉันเกือบถามคุณซาโต้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องเปลี่ยนชื่อตั้ง 2 ครั้ง โชคดีที่ยั้งตัวได้ทัน

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จะมีเพื่อน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีธุรกิจครอบครัวและไม่มี กลุ่มแรกก็แตกสองเสียงค่ะ ทั้งรู้สึกโชคดีที่มีธุรกิจมารองรับ ไม่ต้องหางาน และมีที่รู้สึกว่าธุรกิจครอบครัวเป็นภาระ ดิฉันเคยรู้สึกทั้งสองแบบค่ะ

คุณเคยไหมคะที่คิดว่าปัญหาของตนยิ่งใหญ่เหลือเกิน และเคยไหมคะที่อยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีของโลกใหญ่ไพศาล ครั้งหนึ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี แห่งรักลูกกรุ๊ปให้โอกาสดิฉันและทีมงานนานมีบุ๊คส์ติดตามไปดูงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ ครั้งนั้นเป็นประสบการณ์เปิดตา ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแต่ละประเทศ แต่ละอารยธรรม ทำให้ตัวเองถ่อมตนและคิดได้ว่า เราเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของจักรวาลใหญ่ ๆ

เช่นเดียวกับธุรกิจครอบครัว เราเป็นเพียง 1 รุ่นของอีก 10 20 30 รุ่น (ฟังดูแล้วอาจจะโอเว่อร์นะคะ เพราะธุรกิจครอบครัวส่วนมากอยู่ไม่เกินรุ่นที่ 3 ค่ะ) เพราะฉะนั้น การที่เรารู้สึกว่าธุรกิจครอบครัวเป็นภาระ หยุดทำดีกว่า ถือเป็นการมองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้นึกถึงรุ่นลูกหลานอีกกี่ร้อย กี่พันปีที่จะตามมา

ในขณะเดียวกัน คนเราเกิดมาหนึ่งชีวิต ทำไมเราต้องเลือกเส้นทางชีวิตเพื่อรุ่นอื่นที่ไม่ใช่รุ่นเรา
ทั้งสองมุมมองถือเป็นสิ่งที่ควรจะตั้งคำถามและสนทนากันในครอบครัวนะคะ

อย่างไรก็ตาม สำคัญน่าจะอยู่ที่ค่านิยมหรือวัฒนธรรมที่เราต้องการสืบทอดต่อมาสู่รุ่นต่อไป ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในธรรมนูญครอบครัว หลักสูตร KFamClub ฝึกให้เราตั้งคำถามว่าค่านิยมอะไรที่สำคัญต่อครอบครัวเรา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่ก็ได้

หากท่านสนใจ อยากให้ลองอ่านธรรมนูญครอบครัวของตระกูลโมกิ เจ้าของซีอิ้วยี่ห้อ “คิโคมัน” นะคะบริษัทนี้ยาวนานถึง 383 ปีแล้วค่ะ ดิฉันอาจไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมด แต่มีข้อหนึ่งที่ชอบเป็นพิเศษ คือ ความดีเป็นเหตุ ทรัพย์เป็นผล อย่าเข้าใจผิดระหว่างเหตุและผล อย่าตัดสินคนจากความรวยหรือจน
“ความเป็นคน” ไม่ได้สอนกันง่าย ๆ บางครั้ง ดิฉันพูดคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ว่าไม่อยากมีลูก เพราะกลัวเลี้ยงได้ไม่ดี คำถามคือ อะไรคือดี ความเป็นคนดีที่คิดเป็นมันสอนกันได้หรือไม่ ธุรกิจครอบครัวอาจเป็นเวทีให้ครอบครัวสามัคคี และมีกลไลส่งต่อค่านิยมที่ครอบครัวเชื่อและศรัทธานะคะ

กลับมาที่คำถามแรก ชื่อนั้นสำคัญไฉน หากชื่อเป็นสัญญลักษณ์ของทุกสิ่งที่เป็นครอบครัว การส่งชื่อจากรุ่นสู่รุ่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและเข้าใจได้ เส้นทาง 1,009 ปีของ “ซากัน” ไม่ได้ราบรื่นตลอด

“ซากัน” โด่งดังด้วยน้ำพุร้อนอากิ สี่ร้อยปีก่อนเกิดเหตุน้ำพุร้อนแห้งเหือด ทำอย่างไรก็ไม่ผุดอีก จนกระทั่งได้ไปไหว้ศาลเจ้าไฟที่เมืองวากายามา (อีกฟากหนึ่งของประเทศ) เจ้าของในตอนนั้นนำไฟจากศาลเจ้ากลับมาที่เรียวกัง น้ำพุร้อนจึงผุดใหม่ ปัจจุบัน ไฟจากศาลเจ้าไฟเมื่อสี่ร้อยปีก่อนยังไหม้อยู่ใน “ซากัน”  ให้เราเห็นและไม่เคยดับอีกเลย

นอกจากนั้นในปี 2011 จังหวัดมิยางิก็ถูกผลกระทบจากซึนามิอย่างแรง ในจังหวัดมีเรียวกัง 5 แห่ง ทุกแห่งต้องไล่คนงานออก ยกเว้น “ซากัน” เพราะเชื่อว่าธุรกิจจะกลับมาได้อีกครั้ง ทุกคนร่วมแรงร่วมใจต่อสู้อุปสรรคจนสำเร็จ นี่ก็เป็นผลพวงของความ “ศรัทธา” ในพลังของธุรกิจครอบครัว คุณซาโต้บอกว่า “ในยามวิกฤติ ผู้นำครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญที่จะนำพาลูกหลานและทีมงานไปทางที่ถูกต้อง เช่นเกียวกับการบริหารประเทศ”

ดิฉันจึงขอชวนทุกท่านลองคิดว่า ค่านิยมอะไรที่สำคัญสำหรับครอบครัวของท่าน ที่ท่านอยากส่งต่อสู่ชั่วลูกชั่วหลาน และลองเขียนออกมาเป็นธรรมนูญครอบครัวดูนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คิดเปลี่ยนคุณ

“ใครก็ตามที่รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จะสามารถอยู่ได้ไม่ว่าจะอยู่อย่างไร” – ฟิคทอร์ อี. ฟรังเคิล

ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟ์เลอร์ เขียนในบทที่ 2 ของหนังสือ คิดเปลี่ยนคุณ ว่าหนึ่งอุปสรรคที่สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ในตัวเราคือการไม่รู้ว่า “อะไร” เติมเต็มความหมายในชีวิต เพราะปราศจาคโฟกัส ความฝัน และเป้าหมาย ดร.อเล็กซ์จึงชวนพวกเราเขียน คำประกาศพันธกิจส่วนตัว (Personal Mission Statement) ค่ะ

ก่อนจะลงรายละเอียด เราอาจตั้งคำถามว่า หากเราไม่ได้มีอาชีพศิลปินหรือใช้ศิลปะในชีวิตโดยตรง ทำไมต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มาร์การเรต เจ. วีตลีย์ กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราจะกลัวความไม่แน่นอน ความปั่นป่วน และความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นในองค์กรก็ตาม ขอให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์”

สำหรับตัวดิฉันเอง เมื่อบริษัทมีพนักงานใหม่ มีสินค้าใหม่ ต้องขยายธุรกิจไปทิศทางอื่น ๆ  หากเราทำงานแบบเดิม อาจตกหลุมพรางแห่งความเคยชิน และเกิดความขัดแย้งทางความคิดได้

เมื่อดิฉันทราบว่าอดีต CEO ของเมอร์เซเดส เบนซ์ อย่าง ดร.อเล็กซ์ มาเล่นเรื่องการปลุกความคิดสร้างสรรค์ในผู้นำ ดิฉันจึงสนใจทันทีค่ะ

กลับมาเรื่องพันธกิจส่วนตัว ดร.อเล็กซ์ได้ความคิดนี้มาจาก ดร.สตีเว่น โควีย์ ซึ่งดิฉันก็เป็นแฟนพันธ์แท้เช่นกัน ดร.โควีย์แนะนำให้เรา “เริ่มต้นด้วยจุดหมายในใจ” ลองนึกภาพตามนะคะ

คุณอยู่ในงานวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคุณ มีคนที่คุณรักในทุกบทบาท เช่น พ่อแม่ ลูก สามี ลูกน้อง เพื่อน ฯลฯ รายล้อมเต็มไปหมด ก่อนเป่าเค้ก แต่ละคนจะยืนกล่าวคำชื่นชมให้กับคุณ คุณอยากให้พวกเขาพูดถึงคุณอย่างไร

จากนั้นดิฉันชวนคุณคิดต่อว่า หากเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ คุณต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะคู่ควรต่อคำพูดเหล่านั้น
หนึ่งในสิ่งที่ดิฉันเขียน คือ ดิฉันอยากให้เพื่อน ๆ พูดถึงดิฉันว่า “คิมเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้ในยามลำบาก ที่สนับสนุนฉันอย่างไม่มีอคติ และสนุกทุกทีที่ได้อยู่ด้วยกัน” เมื่อเขียนเสร็จ ดิฉันก็รู้สึกตัวทันทีว่า หากเป็น ณ ตอนนี้ ต้องไม่มีใครพูดถึงดิฉันแบบนี้แน่นอน เพราะดิฉันเป็นคนบ้างาน ไม่ค่อยแบ่งเวลาให้เพื่อน ทำให้เพื่อนหลายคนเกรงใจที่จะชวนไปเที่ยวไหน เมื่อรู้ตัว จึงต้องรีบปฏิวัติตัวเอง จัดเวลาให้สมดุล ใส่ใจกับคนรอบข้างให้มากกว่านี้ เป็นต้น

หลังจากนั้น คุณอาจจะคิดต่อว่าใครคือไอดอลของคุณ เพราะมันจะสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญกับคุณ
หนึ่งในไอดอลของดิฉันคือคุณแม่ เพราะท่านมีความมุ่งมั่น มีพลังผลักดันความเปลี่ยนแปลงในสังคม กล้าเสี่ยง และยึดมั่นในหลักการที่ศรัทธา เมื่อเขียนออกมาจะเห็นภาพชัดว่า เราเลือกคนเหล่านี้เป็นไอดอลเพราะอะไร ทั้งหมดนี้จะช่วยในกระบวนการเขียน คำประกาศพันธกิจส่วนตัว ค่ะ

“อย่าตั้งเป้าหมายอย่างไร้ความหมาย หรือเป้าหมายที่มาจากความโลภ” – อริสโตเติล

ดร.อเล็กซ์ ให้ข้อคิดว่า เวลาตั้งเป้าหมาย ต้องระวังยาพิษ 3 ประเภท คือ 
1. เปรียบเทียบเงินเดือนและสิ่งที่มีตอนนี้กับเงินเดือนมากขึ้นที่อยากจะมีในอนาคต เพราะเราไม่ควรมีเฉพาะเป้าหมายที่เป็นวัตถุ  
2. เปรียบเทียบเงินเดือนตอนนี้กับเงินเดือนที่เคยได้มากกว่า เพราะยามที่ “ได้น้อยลง” มักจะแลกมาด้วยประสบการณ์ดี ๆ ความเชี่ยวชาญ และมิตรภาพเพิ่มขึ้น  
3. เปรียบเทียบเงินเดือนตัวเองกับของคนอื่น เพราะสนามหญ้าบ้านเราไม่เคยเขียวเท่าข้างบ้านอยู่แล้ว
สรุปคือ การเปรียบเทียบมากเกินไปจนไม่ได้ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของเราจะเป็นยาพิษที่ทำร้ายเราเอง เรื่องนี้สำคัญมากถึงขนาดที่นักเขียนดัง ดร.สเปนเซอร์ จอห์นสัน ยังต้องออกมาเขียนเรื่อง ของขวัญแห่งปัจจุบันกาลซึ่งคนไทยน่าจะเข้าใจง่ายเพราะเชื่อมโยงกับคำสอนของศาสนาพุทธด้วย

ในเบื้องต้น ดิฉันคงสามารถท้าทายให้คุณตั้งคำถามได้แล้วว่า ทำไมต้อง “คิดเปลี่ยนคุณ” และพลังความคิดสร้างสรรค์สำคัญไฉนในการเอาชีวิตรอดในภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคมในปัจจุบัน จึงขอจบบทความด้วยส่วนหนึ่งของหนังสือ “อลิซในดินแดนมหัศจรรย์” ค่ะ

อลิซถามแมวว่าจากนี้ควรไปที่ไหนต่อ แมวจึงตอบว่า “ทางไหน” ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะไปที่ไหน เมื่ออลิซบอกว่าเธอไม่สนใจหรอกว่าจะไปที่ไหน แมวจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะไปทางไหน”
อ่านจบแล้ว เริ่มเขียน คำประกาศพันธกิจส่วนตัว เลยนะคะ ขอให้โชคดีค่ะ


(หมายเหตุ: ขอขอบคุณ ดร.อเล็กซ์ ที่ท้าให้ดิฉัน “คิดเปลี่ยนคุณ” และขอขอบคุณบริษัท  PacRim ที่จัดหลักสูตร 7 อุปนิสัยสำหรับผู้มีประสิทธิผลสูง ซึ่งช่วยชีวิตของดิฉันในปีนี้ค่ะ)

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประตูใหญ่ ประตูเล็ก

สมัยมัธยม เพื่อนรักเคยถามดิฉันว่า “เราเห็นคนหนึ่งขับรถเบนซ์คันใหญ่ แต่บ้านเขาหลังเล็กนิดเดียวและเก่ามาก ทำไมเขาไม่เอาเงินไปซ่อมบ้าน” สิบกว่าปีต่อมา ดิฉันและเพื่อนรักคนเดิมมา road trip กันที่เมืองกรานาดา ประเทศสเปน เจอเหตุการณ์คล้ายกัน ขอยก 2 ตัวอย่างนะคะ
ตัวอย่างที่หนึ่ง สุลต่าน โมฮัมหมัดที่ 5 ของราชวงศ์นาซริด ตกแต่งโถงรับแขกของพระราชวังอัลฮัมบราอย่างหรูหราอลังการณ์ที่สุด แต่ไม่เน้นการตกแต่งในห้องนอนส่วนตัว เพราะไม่มีใครเห็น (นอกจากตัวเอง) เน้นตกแต่งโซนที่จะมีคนเห็นเยอะเป็นหลัก
ตัวอย่างที่สอง ระหว่างเดินทัวร์ประวัติศาสตร์ย่านเมืองเก่า เห็นสถาปัตยกรรม 2 แบบ คือ แบบอิสลาม (จากช่วงศตวรรษที่ 13) และแบบคาทอลิค (จากช่วยศตวรรษที่ 15) ไกด์ชี้ให้เห็นบ้านสไตล์อิสลามว่ามักมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยมีหน้าต่าง เพราะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ประตูขนาดเล็กและชอบปิดประตู บางบ้านดูแล้วไม่รู้เลยว่ารวยมาก ในขณะที่บ้านสไตล์คาทอลิคจะมีขนาดใหญ่ (คือขนาดบ้านอิสลามประมาณ 3 หลัง) มีประตูขนาดใหญ่ และชอบเปิดประตู แต่หลายครั้งคนบ้านใหญ่ไม่รวยอย่างที่คิด
ดิฉันย้ายไปเรียนประจำที่โรงเรียนนานาชาติตอนมัธยม 1 จำได้ว่าคุณพ่อคุณแม่เรียกคุย บ้านเรากำลังลำบาก ธุรกิจไม่ดีอย่างที่คิด หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราอาจล้มได้ แต่การศึกษาสำคัญที่สุด ป่าป๊าและหม่าม้ายินดีทำงานหนัก แลกเช็ค เล่นแชร์ เพื่อให้ดิฉันและน้องสาวได้ไปเรียนโรงเรียนที่ดี ขอให้เห็นถึงความสำคัญ ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด

ตอนนั้นดิฉันชอบร้องเพลงมาก ร้องดีใช้ได้ ครูส่งเสริม จัดครูสอนร้องเพลงให้พิเศษ แต่ด้วยค่าเรียนที่สูง ดิฉันจึงเลิกเรียน เพราะเกรงใจพ่อแม่ คิดดูแล้วดิฉันน่าจะเป็นคนที่ประหยัดที่สุดในโรงเรียน

ต่อมา เจอเพื่อนคนหนึ่ง คนนี้ชอบโอ้อวด พ่อแม่ไม่เคยบอกเขาเลยว่าที่บ้านกำลังลำบาก เขาเรียกร้องให้พ่อแม่ซื้อของแพงให้ตลอดเวลา เพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองป๊อบปูล่า พ่อแม่ก็ซื้อให้ พอมารู้อีกทีว่าที่บ้านไม่มีเงินแล้ว รับไม่ได้จนออกอาการต่าง ๆ นานา

ดิฉันคิดว่าการที่พ่อแม่คุยกับดิฉันและน้องสาวอย่างตรงไปตรงมา เป็นของขวัญที่ดีเลิศ เพราะทำให้เข้าใจสถานการณ์ รู้ถึงข้อจำกัดและซาบซึ้งในโอกาส ทำให้ปฏิบัติตัวถูก ไปโรงเรียนด้วยทัศนคติแบบ appreciative คือไม่คิดว่าโอกาสนี้เป็นของตาย

ช่วงก่อนเรียนจบมัธยม ดิฉันซ้ายจัด ต่อต้านระบบทุนนิยม แอนตี้การใช้ของแพง ประกาศจุดยืนกับเพื่อน ๆ ว่าเราไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก ใช้ของแพงไม่ได้หมายความว่าเหนือกว่าผู้อื่น

พอโตมา เริ่มตั้งคำถามต่อว่า หากใช้ของถูกแปลว่าดีกว่าคนอื่นหรือไม่ สุดท้ายหากเราตัดสินคนใช้ของแพงว่าไม่ดี เราก็เป็นคนสองหน้า คือ ตัดสินคนจากเปลือกนอกอยู่ดี

เดือนที่แล้ว ก่อนดิฉันไปประชุมที่สำนักงานของ Maths-Whizz ที่ลอนดอน เจ้าของ Maths-Whizz ออกตัวว่าออฟฟิสผมเล็ก อยู่ในสถานีรถไฟ ไม่หรูหรานะ ดิฉันบอกว่าไม่เห็นเป็นไร สำคัญที่บริษัทคุณทำสินค้าเจ๋งที่สุด น่าจะเพียงพอแล้ว เขาจึงบอกว่าเขาและพรรคพวกที่เริ่มก่อตั้งบริษัทมาด้วยกันก็คิดเช่นนี้ ออฟฟิสเป็นอย่างไรก็ช่าง ลุยเต็มที่ แต่เด็กรุ่นใหม่มักต้องการทำงานในออฟฟิสที่หรูหรา  เห็นประกาศงานแล้วสนใจ แต่พอมาสัมภาษณ์งานก็รู้สึกอาย ๆ ที่ต้องมาทำงานเหนือสถานีรถไฟ

ใช่ว่ารูปกายภายนอกจะไม่สำคัญนะคะ สุดโต่งก็ไม่ไหวค่ะ ตอนที่ไกด์แนะนำการออกแบบของอัลฮัมบรา เขาพูดถึงแบบที่เป็นสมมาตร ซึ่งแสดงถึงความสมดุล คนเราสวมหลายหมวก มีหลายบทบาท ต้องเลือกปฏิบัติให้เหมาะกับกาลเทศะ

เราคงทราบดีว่าคนเอเชียให้ความสำคัญเรื่อง “หน้าตา” มาก เวลาคนจีนเลี้ยงแขกต้องสั่งกับข้าวเยอะเป็นสิบ ๆ อย่างเพื่อแสดงความใจถึง คือตั้งใจให้กินไม่หมด หากแขกกินหมด เจ้ามือจะเสียหน้ามาก เหมือนเป็นเรื่องเล็กนะคะ แต่เรื่องนี้ซีเรียสมากเพราะเป็นการเปลืองทรัพยากรอาหาร จนรัฐบาลต้องออกกฏห้ามเลี้ยงแขกในภัตตาคาร! ครั้งที่ผ่านมา คุณแม่ของดิฉันไปประชุมกับสำนักพิมพ์จีน ประธานบริษัทจึงพาเลี้ยงข้าวที่โรงอาหารบริษัทแทน


ก่อนจบบทความ ดิฉันขอฝากว่า ไม่ว่าจะเลี้ยงแขกที่ภัตตาคารหรือที่โรงอาหาร รถจะคันใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าประตูบ้านของเราจะบานใหญ่หรือบานเล็ก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเอง หากเราตั้งใจดี เป็นคนดี เก่งจริง เรารู้ตัวของเราเอง ไม่ต้องให้ใครมาใส่ลาเบลให้เรา เห็นด้วยไหมคะ

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

PLVS VLTRE … ไร้ขีดจำกัด

ก่อน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบอเมริกา คนสเปนคิดมาตลอดว่ามหาสมุทรแอตแลนติกคือ ขอบโลก ไม่มีอะไรหลังจากนั้น สัญลักษณ์ “PLVS VLTRE” หรือ Beyond Boundary จึงปรากฏอยู่ทั่วห้องโถงของพระราชวังอัลฮัมบรา (Alhambra) ในเมืองกรานาดา ประเทศสเปน เพื่อ ตอกย้ำว่ามีอะไรเหนือความคาดหมายรอเราอยู่เสมอ

หลายครั้งที่เราคิดว่า ทำดีที่สุดแล้ว ได้แค่นี้ มักจะมีเซอร์ไพรส์ให้กับชีวิต จะเซอร์ไพรส์ด้วยโชคชะตาหรือด้วยหยาดเหงื่อ คงต้องตอบกันเองนะคะ

รู้ไหมคะว่า สเปนตอนใต้เคยถูกปกครองโดยชาวมุสลิม หลายร้อยปีเลยนะคะ การมาเที่ยวสเปนกับเพื่อนรักครั้งนี้ ประทับใจอัลฮัมบรามากที่สุดค่ะ

อัลฮัมบราถูกสร้างโดยราชวงศ์นาซริดในปี 1237 ใช้เวลาสร้างกว่า 300 ปี ยิ่งใหญ่อลังการณ์ ทั้งเมืองเป็นชาวมุสลิม ไกด์ของเราบอกว่าชาวมุสลิมรักการอ่าน มีทักษะด้านภาษา เรียนรู้นวัตกรรมของทุกอารยธรรมเพื่อนำมาปรับใช้กับเมือง ที่โดดเด่นคงเป็นระบบชลประทานของเมือง ส่งน้ำจากแม่น้ำดารอสให้คนทั้งเมืองใช้ แยกระบบน้ำดีน้ำเสีย ทำความสะอาดทางน้ำด้วยระบบเขื่อน ทำให้ปลอดโรคและแลดูสวยงาม

เมืองนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรม เป็นหลงไหลของศิลปินและนักกวี หากบ้านไหนไม่มีลูกชาย พ่อแม่ทุ่มเรื่องการศึกษาให้ลูกสาว ฮาฟซา อัล รัคคูนียา กวีสาวชื่อดังในสมัยนั้นต่อยอดความสามารถจนเป็นนักการเมืองได้ด้วยซ้ำ

ในปี 1942 กษัตริย์เฟอร์นานโดและราชินีอิซาเบลขยายดินแดน เปลี่ยนกรานาดาให้เป็นเมืองคาทอลิค ตอนแรกให้เวลา 40 ปีในการเปลี่ยนศาสนา เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนวิถีได้ในข้ามคืน อย่างไรก็ตาม ด้วยนโยบายที่เข้มข้นขึ้นของกษัตริย์องค์ต่อมา มีการขับไล่ชาวมุสลิมออกจากสเปนทั้งหมด

และรู้ไหมว่า เมื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เสนอโปรเจคใหญ่ขอเงินพระราชินีอิซาเบลออกเรือสำรวจอินเดีย พระราชินีอิซาเบลต้องขายเครื่องเพชรส่วนตัวมากมาย เพราะหมดตัวจากการทำสงคราม แต่ด้วยความเชื่อและศรัทธา ทุ่มสุดตัว ทำให้ได้ค้นพบอเมริกา (ด้วยความบังเอิญ!) ประวัติศาสตร์เรื่องนี้น่าสนใจมากนะคะ แต่คงไม่ได้เล่าตอนนี้ สำคัญคือ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ค่ะ

กลับมาสู่โลกปัจจุบันนะคะ ตอนนี้ดิฉันนั่งเขียนบทความข้างแม่น้ำดารอส วันนี้วันเสาร์ มีศิลปินมาออกร้านที่ตลาดนัดมากมาย มีขายภาพเขียน เล่นดนตรีขายซีดี รับจ้างเขียนบทกลอน บรรยากาศดีมากค่ะ ในขณะเดียวกัน มีขอทานเดินขอเงิน ทำให้สะกิดใจว่า เราสามารถกำหนดโชคชะตาของเราได้เอง เลยคุยกับเพื่อนว่า หากเราขวนขวายหาวิชาชีพ เราไม่อดตาย แต่หากเรายอมแพ้ต่ออุปสรรค ไม่ pro-active รอคอยความเห็นใจจากสังคม คงไม่รอด

ดิฉันพักที่โรงแรมคาซามอริก้า รีวิวใน Trip Advisor ดีมากค่ะ เป็นโรงแรมเล็ก ๆ มีพนักงาน 1 คน ทำได้ทุกอย่าง ทีแรกไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะคิดว่าโรงแรมเล็กแบบนี้น่าจะต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก ที่ไหนได้ เขาช่วยดิฉันหาตั๋วเข้าอัลฮัมบรา (ปกติต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน) หาไกด์ แนะนำโน่นนี่อย่างดี จนต้องยกนิ้วให้

ในเมืองคอร์โดบา ดิฉันก็พักโรงแรมเล็กเหมือนกันค่ะ มีแค่ 10 ห้อง แต่พนักงานดีสุดยอด ตอนขับรถเจอทางตัน คือ ถนนเล็กมากจนไปต่อไม่ได้ เพื่อนวิ่งไปบอกที่โรงแรม เขาวิ่งออกมา ขับรถแทนให้จนถึง แล้วดูแลดี พาทัวร์โรงแรมอย่างภูมิใจ พาซื้อตั๋วรถทัวร์ พนักงาน 1 คนทำได้ทุกอย่าง ทั้งขับรถวาเล่ท์ check-in ทำอาหารเช้า คือเต็มที่มากแต่สุดท้ายก็มาพบประสบการณ์ที่ขัดแย้งค่ะ

ดิฉันเดินหลงทางในเมืองเก่า มืดมากน่ากลัว มีร้านอาหารหนึ่งไม่มีคนเลย สกปรกและเก่า เจ้าของนั่งดูทีวี ดิฉันจึงเข้าไปถามทาง เขาถามกลับว่า ดิฉันจะสั่งกาแฟไหม เมื่อดิฉันบอกว่าไม่ได้สั่ง ขอถามทาง เขาบอกว่าที่นี่ไม่ใช่สำนักงานท่องเที่ยวนะ เป็นร้านอาหาร ไม่บอก ให้ออกไป เสียความรู้สึกมากค่ะ เมื่อถึงโรงแรม เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ก่อนลาจาก โรงแรมขอร้องให้ช่วยเขียนรีวิวในเว็บ Trip Advisor ซึ่งดิฉันเขียนให้อย่างยินดี

ทั้งสองโรงแรมนี้เป็นตัวอย่างของผู้มีทัศนคติแบบผู้ชนะ คือ ท่ามกลางเศรษฐกิจย่ำแย่ของสเปน คิดนอกกรอบ ทำดีที่สุด บริการเหนือความคาดหมาย ทำให้มีการบอกต่อความประทับใจแบบปากต่อปาก ธุรกิจไปได้แน่นอน ทั้งสองที่แขกเต็มทุกห้อง ไม่เหมือนร้านอาหารใจร้าย นั่งรอแขก ไม่ปรับปรุงพัฒนา ไม่แปลกใจที่ไม่มีลูกค้า

ในยุคนี้ ทุกคนลำบากหมด ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ ตอนนี้ต้องคิดต่อยอด ตั้งคำถามว่า “ขีดจำกัด” ของเราอยู่ที่ไหน จะก้าวข้ามจุดนั้นเพื่อหา “พลังที่ซ่อนอยู่” อย่างไร ที่เราบอกตัวเองว่าทำดีที่สุดแล้วคือที่สุดแล้วหรือไม่ จึงขอปิดท้ายบทความชิ้นนี้ด้วยคำที่พบในอัลฮัมบรานะคะ
PLVS VLTRE … ไร้ขีดจำกัด … Beyond Boundary

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รู้ศึกษา รู้สึกตัว

สมัยเริ่มทำงานใหม่ ๆ ดิฉันปรับทุกข์ให้เพื่อนสมัยเซนต์โยฟังว่า ดิฉันมีปัญหาเรื่องอารมณ์อ่อนไหว บางครั้งควบคุมไม่ได้ หากได้แรงกดดัน จะร้องไห้กลางที่ประชุม หรือบางครั้งอารมณ์ฉุนเฉียว เพื่อนคนนั้นจึงเล่าให้ฟังถึงกิจกรรมที่เขาเป็นอาสาสมัครอยู่ในตอนนั้น ซึ่งเป็นการอบรมโดย อ. ศุภวรรณ กรีน

อ. ศุภวรรณ บอกว่าคนเรามีทั้งตัวกายและตัวใจ เมื่อใจเราปั่นป่วน เราต้องหาตัวใจกลับบ้าน คนส่วนมากดูแลตัวกายอย่างดี กินอาหารดี ออกกำลังกาย แต่มักไม่ได้ดูแลตัวใจ

ต่อมา ค้นพบว่าแกนนำที่เผยแพร่แนวคิดของ อ. ศุภวรรณ กรีน คือ คุณวิศาล เอกวานิช เจ้าของร้านหนังสือ เดอะบุ๊คส์ ที่ภูเก็ตนั่นเอง ครอบครัวคุณวิศาลทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นเศรษฐีใหญ่ แต่เปิดร้านหนังสือเพราะรักการอ่าน เมื่อคุณวิศาลมาเที่ยวศูนย์วิทยาศาสตร์ที่ Nanmeebooks Learning Center ท่านบอกดิฉันว่าอยากไปเปิดที่ภูเก็ตด้วย เพราะท่านกำลังเปิดร้านใหม่ จะทำเป็นแหล่งเรียนรู้ภายใต้คอนเซ็ป “รู้ศึกษา รู้สึกตัว”

ตอนแรกดิฉันบอกว่า ทำศูนย์วิทยาศาสตร์ต้องใช้เงินเยอะ นานมีบุ๊คส์เปิดเพราะมันตรงกับอุดมการณ์เราเด๊ะ และเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการของเราด้วย แต่คุณวิศาลเปิดร้านหนังสือ ไม่อยากให้เปิดเลยค่ะ มันไม่น่าจะคุ้ม

ท่านบอกว่า ค่านิยมในปัจจุบันผลักดันให้เด็ก ๆ เรียนหนังสือเยอะมาก ความจริงท่านเห็นด้วยว่าต้องเรียน แต่ท่านอยากส่งเสริมให้เรียนแบบถูกวิธี คือ ผ่าน hands-on และการตั้งคำถาม ท่านจึงบอกว่าที่อยากเปิด เพราะไม่ใช่ต้องการเงิน แต่อยากให้ภูเก็ตมีแหล่งเรียนรู้แบบนี้บ้าง

ท่านจึงชวนดิฉันตั้งคำถามต่อ ... ดิฉันเป็นคนใฝ่เรียน ทำงานหนัก ถือว่าเก่งพอใช้ นี่เรียกว่า “รู้ศึกษา” แต่เวลาดิฉันอยู่ในสถานการณ์กดดัน ดิฉันเสียอารมณ์ง่าย มีอะไรมาป่วนใจ บางครั้งปรี๊ดแตก แบบนี้ถือว่าดีแล้วหรือ เพราะฉะนั้น นอกจากจะ “รู้ศึกษา” แล้ว เราต้อง “รู้สึกตัว” ด้วย จึงเป็นที่มาของชื่ออาคาร “รู้ศึกษา รู้สึกตัว” ที่ภูเก็ต ซึ่งเปิดทำการวันแรกวันที่ 19 ต.ค. ค่ะ

ในวันเปิด คุณวิศาลเชิญ อ. ศุภวรรณ มาอบรมพวกเราเรื่อง “พาตัวใจกลับบ้าน” ด้วย ซึ่งวางแผนจะจัดอบรมต่อเนื่องที่นี่ทุกครั้งที่ อ. กลับมาประเทศไทยค่ะ

ดิฉันถือว่าโชคดี ได้กัลยานมิตรที่สอนทั้งเรื่องงานและเรื่องใจ จึงอยากเล่าต่อถึงกัลยานมิตรอีกท่าน
สัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันและคณะแกนนำเรื่องส่งเสริมการอ่านมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เกี่ยวกับโครงการนานมีบุ๊คส์รีดดิ้ลคลับปีที่ 12

ดิฉันจึงมีโอกาสสนทนากับ ผอ. บุญเลิศ ค่อนสอาด ถึงแนวทางการบริหาร เพราะท่านเป็นนักบุกเบิกอย่างแท้จริง ผอ. บุญเลิศเพิ่งย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดปิตุลาฯ จ.ฉะเชิงเทรา ในปีการศึกษานี้ ก่อนหน้านี้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวัดดอนทอง

ดิฉันสังเกตว่า ผอ. บุญเลิศ ริเริ่มนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆ ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย” จากเยอรมนีสำหรับวิทยาศาสตร์อนุบาล โครงการ “ห้องเรียนทดลองวิทย์” จากญี่ปุ่นสำหรับวิทยาศาสตร์ประถม โครงการ “Maths-Whizz” จากอังกฤษสำหรับคณิตศาสตร์ประถม และยังพัฒนาห้องสมุดให้มีชีวิตอีกด้วย

ในการบริหารองค์กร สิ่งที่ทุกคนต่างหวาดกลัวคือ “ความเปลี่ยนแปลง” ดิฉันจึงถาม ผอ. บุญเลิศ ว่าท่านบริหารความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร “สำคัญ คือ ต้องมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน” ท่านใช้วิธีสื่อสาร “ความฝันและวิสัยทัศน์” ให้กับคณะครูและผู้บริหาร เมื่อทุกคนมีเป้าหมายที่เห็นร่วมกัน เราสามารถเอาชนะความท้าทายได้

ท่านเล่าต่อว่า มีครั้งหนึ่งที่ได้ขึ้นเวทีในฐานะ ผอ. โรงเรียนวัดปิตุลา แล้วผู้ชมเงียบ เมื่อพิธีกรเอ่ยว่า ท่านเป็นอดีตผอ. โรงเรียนวัดดอนทอง ทุกคนปรบมือสนั่นห้องประชุม ครูโรงเรียนวัดปิตุลาจึงถามท่านว่า ทำไมพวกเขาไม่รู้จักโรงเรียนเรา ท่านจึงบอกว่าไม่ต้องกลัว พวกเราจะร่วมกันทำให้โรงเรียนวัดปิตุลาชื่อเสียงโด่งดังให้ได้

ดิฉันคิดว่าการมีวิสัยทัศน์หรือมีเป้าหมายร่วมกันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ใช่เพียงในการบริหารองค์กร และในการเรียนรู้ของเด็กด้วย แต่เดิมเราอาจะให้นักเรียนเรียนรู้ a b c เพียงเพื่อให้รู้ แต่ด้วยโลกที่เปลี่ยนไป วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับเด็กรุ่นอีกต่อไปค่ะ เราต้องเขียนฝันให้เขา เรียนสิ่งนี้เพื่ออะไร เราจะเรียนรู้ a b c เพื่อบรรลุ d e f เพื่อเราจะได้ j k l เป็นต้น

เพื่อปิดท้าย ดิฉันขอฝากสูตรหนึ่ง ซึ่งต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ แต่มีหัวใจดังต่อไปนี้

รู้ศึกษา + รู้สึกตัว = [ความรู้หลัก (วิทย์ คณิต อังกฤษ ...) + ทักษะของเด็กศตวรรษที่ 21 (สังคม คิด วิเคราะห์ ตั้งคำถาม ...)]อย่างมีเป้าหมาย  + รู้สึกตัว


และหากท่านไหนไปเที่ยวภูเก็ต อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมอาคาร “รู้ศึกษา รู้สึกตัว” กันนะคะ