ลอนดอนช่างเต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรม สองฝั่งทางเดินในสถานีรถไฟมีโปสเตอร์แนะนำนิทรรศการใหม่
ๆ ของพิพิธภัณฑ์ หนังสือออกใหม่ ละครเวที และคอนเสิร์ต เต็มไปหมด
ทำให้ดิฉันระลึกถึงนิวยอร์กและเบอร์ลิน มหานครของโลกมันเป็นสถานที่ที่ก่อแรงบันดาลใจเสมอ
มาลอนดอนครั้งนี้ ดิฉันได้ดูละครเวทีในโรงละครเป็นครั้งแรกในชีวิต
สมัยที่ดิฉันเรียนมัธยมที่โรงเรียนนานาชาติดัลลิช มีโอกาสอ่านบทละครเวทีหลายเรื่อง
ที่ชอบที่สุดคงเป็นเรื่อง Death of a Salesman ของ
Tennessee William ครูมักจะให้พวกเราเลือกว่าจะเป็นตัวละครตัวไหน
และอ่านบทละครด้วยกันในวิชาภาษาอังกฤษ ตอนนั้นคิดว่านักเขียนช่างเก่งเหลือเกิน
ที่สามารถสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึกของสังคมผ่านเรื่องราวของตัวละครได้อย่างดี
ละครที่ดิฉันได้ดูครั้งนี้ชื่อว่า Warhorse
มาทราบทีหลังว่าดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Warhorse ของ
Michael Morphurgo ถึงแม้ว่านานมีบุ๊คส์จะไม่ได้พิมพ์เรื่อง Warhorse
แต่เราก็ได้รับเกียรติพิมพ์หนังสือเล่มอื่น ๆ ของเขา ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วรรณกรรมแนวนี้ไม่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านชาวไทยเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ละครเวทีเรื่อง Warhorse สนุกมากกกกกกก
ทีมงานสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของคนและม้าได้อย่างดี ดีจนนั่งไม่ติดพนัก
และน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
ตอนแรกดิฉันยังงง ๆ ว่าผู้จัดจะเอาม้าตัวจริงมาเล่น
หรือให้คนใส่หน้ากากเป็นม้าเหมือนเรื่อง Lion King หรือจะเป็นหุ่นมือ
สุดท้ายพบว่า ผู้จัดสร้างหุ่น 3 มิติเป็นตัวม้าจริง ๆ ขึ้นมา และมีผู้ชัก 2
คนเพื่อกำกับศรีษะ ขาหน้า และขาหลัง คือเหมือนจริงมากค่ะ
และดิฉันคงไม่ได้มาถึงลอนดอน หากไม่ได้ไปพิพิธภัณฑ์ ครั้งนี้ได้ไป 2 แห่งค่ะ คือ
พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Tate Modern ซึ่งมีนิทรรศการพิเศษของ Paul Klee และพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
ตอนที่เดินเที่ยวในนิทรรศการของ Klee ดิฉันเขียน 2
คำในสมุด
คือ “กระโดด” และ “การสอน” มีรูปภาพหลายชิ้นของ Klee ที่สะท้อนถึงความต้องการที่จะกระโดดข้ามผ่านความว่างเปล่าหรือความลำบาก
ซึ่งคิดว่าเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกคน คือ เมื่อเจออุปสรรค
เราต้องกระโดดข้ามไปค่ะ และเพิ่งทราบว่า Klee ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิลปิน
แต่เป็นครูด้วย ที่สำคัญคือเป็นครูที่ไม่หยุดยั้งที่จะหาวิธีการสอนใหม่ ๆ
ให้กับนักเรียนค่ะ ดิฉันจึงคิดว่าไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไร
เราต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ต้องฝึกฝนพัฒนาตัวเองให้เก่งในวิชาชีพของตน
และสร้างคนรุ่นหลังให้มาสอนต่องานของเรา
ก่อนที่เราจะร่วมมือเปิดศูนย์วิทยาศาสตร์ Phaenomenta
กับพาร์ทเนอร์เยอรมัน Dr. Lutz Fiesser (ผู้ก่อตั้ง Phaenomenta)
เคยเล่าให้ฟังถึงวิวัฒนาการของศูนย์วิทยาศาตร์ค่ะ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ให้เราเสพความรู้ด้วยตา
มองดูและอ่านข้อมูล ต่อมาพัฒนาไปสู่ศูนย์วิทยาศาสตร์แบบคลาสสิก คือ
ให้ปฏิบัติด้วยมือจริง แต่ยังมีบอกวิธีการและคำอธิบายสิ่งที่เห็น จนมาสู่ศูนย์วิทยาศาสตร์แบบ
natural process ซึ่งคือให้ปฏิบัติด้วยมือจริง และไม่มีคำอธิบายว่าเห็นอะไร เพราะอะไร
ประสบการณ์ของดิฉันที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ลอนดอนเป็นเหมือนที่ Dr.
Fiesser เคยบอกไว้เลยค่ะ คือ เน้นดูและอ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะคะ
ดิฉันถือว่าเด็กอังกฤษโชคดีมาก
เพราะเขารวบรวมสิ่งประดิษฐ์ในหลายแขนงวิทยาศาสตร์มาตั้งโชว์ให้ดู
หากไม่ได้มาคงได้ดูแต่ในหนังสือแน่ ๆ เลยค่ะ แต่ที่พิเศษคือที่ชั้น 4 ค่ะ
เพราะเขาให้ที่เกือบครึ่งชั้นให้เป็นแบบ hands-on อย่างแท้จริง
ตอนแรกดิฉันสงสัยว่าทำไมคนมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์น้อยจัง แต่พอไปถึงชั้น 4
ก็ถึงบางอ้อเลยค่ะ เพราะเด็ก ๆ ทุกคนมาเล่นกันอยู่ที่ชั้น 4 นั่นเอง!
การเดินทางมาลอนดอนครั้งนี้คงไม่สมบูรณ์
หากปราศจากการนัดพบเพื่อนและครูเก่าสมัยเรียนที่ดัลลิชค่ะ บางคนก็ไม่ได้เจอกัน 15 ปีแล้วค่ะ
เมื่อบรรดาครูทราบว่าพวกเราอายุ 30 ปีกันแล้ว ต่างไม่อยากเชื่อ
ครูของพวกเราก็มาสอนที่ประเทศไทยตอนอายุประมาณนี้เหมือนกัน ทำให้ดิฉันคิดว่า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่รอใคร หากเราอยากทำอะไรตอนนี้ควรทำทันทีเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น