วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พลังของเครือข่าย

ในโลกปัจจุบัน หากจะอยู่อย่างเดียวดาย ทุกอย่างทำเอง คงไม่สำเร็จเหมือนเมื่อก่อน ทุกคนเริ่ม outsource ทุกคนเริ่มหาเครือข่าย วงการการศึกษาก็เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ดิฉันได้ไปร่วมการประชุมกับผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ โต้โผใหญ่โดย ดร. สำเริง กุจิรพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครปฐม และนายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดแห่งประเทศไทย ทำให้เห็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการสร้างเครือข่าย

ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด 81 แห่ง ดร. เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ สพฐ. กล่าวว่า “อนุบาลประจำจังหวัดเป็นผู้บุกเบิกการเรียนรู้ถึงบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเรียนรู้ตัวอย่าง สำหรับโรงเรียนประถมทั่วประเทศ” ปัจจุบันยังทำหน้าที่พี่ใหญ่ให้กับโรงเรียนอนุบาลประจำเขตพื้นที่การศึกษาอีก 183 แห่ง

ใครว่าโรงเรียนรัฐบาลด้อยคุณภาพ การร่วมประชุมครั้งนี้เปิดตาให้ดิฉันรู้ว่า ที่แท้อนุบาลประจำจังหวัดนี่แหละที่กล้าคิดนอกกรอบ ลองนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ ใครเจออะไรดี ๆ ก็จะแบ่งปันต่อยอด สองสัปดาห์ที่ผ่านมา สสส. จัดอบรมเรื่องทักษะชีวิต ดร.สำเริง ก็เจรจาให้อบรมให้ทั้งเครือข่ายแบบไม่มีค่าใช้จ่าย
ที่ผ่านมาโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดเริ่มใช้หลักสูตร ห้องเรียนทดลองวิทย์ จากประเทศญี่ปุ่น ใช้แล้วดีก็ขยายผลสู่จังหวัดอื่น ๆ และรู้ไหมว่าโรงเรียนอนุบาลนครปฐมเปิดหลักสูตร English Program (นิยมมากในปัจจุบัน) ก่อนที่กระทรวงจะมีนโยบายในเรื่องนี้เสียอีก

ปัจจัยสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง คือ ระบบการบริหารการศึกษาแบบ 40:30:30 ของ ผอ. สุทธิ สายสุนี โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดสตูล คือ ให้สัดส่วนความสำคัญกับ 3 ภาคี 40% แรกให้กับกลุ่มครอบครัว 30% ที่สองให้กับครู และอีก 30% สุดท้ายให้กับประชาสังคม

โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดสตูล จัดตั้งกรรมการผู้ปกครองชั้นละ 5 คน ร่วมทำปฏิทินกิจกรรมของโรงเรียนด้วยกัน โรงเรียนจัดสรรงบให้บางส่วน ผู้ปกครองเรี่ยไรที่เหลือ ทำให้เกิดความมีส่วนร่วม สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง นักเรียนเกิดความภูมิใจ สำหรับครู โรงเรียนจัดให้มีการพัฒนาบุคคลากรอยู่เสมอ

หมัดเด็ดที่ถูกใจดิฉัน คือ  ผอ. สุทธิ บอกว่าเราจะยกระดับการศึกษาได้ ต้องร่วมมือกับประชาสังคม เช่น สำนักพิมพ์ องค์กรในชุมชน เป็นต้น ดิฉันรู้สึกประทับใจเพราะบางคน (รุ่นเก่า) ในวงราชการจะไม่ชอบทำงานร่วมกับเอกชน เพราะคิดว่าจะมาหาประโยชน์จากเขา หรือทำการค้าอย่างเดียว แต่ดิฉันเชื่อมั่นในระบบเครือข่าย ไม่มีใครเก่งได้ทุกเรื่อง หากเราต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษาแบบโดยรวม (
raising the bar) เราไม่สามารถทำเอง หรือรอบริจาคได้

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณทำงานอะไร ขอให้รู้งานของคุณให้ดีที่สุด เพราะนี่คือวิชาชีพคุณ และด้วยแนวคิดการสร้างเครือข่ายและหาภาคี จะทำให้บทบาทของเราในจิ๊กซอว์สังคมชัดเจนและมีความสำคัญ หากเราทำงานไปวัน ๆ รู้กว้าง ๆ เราคงต้องตั้งคำถามว่า เราสร้างประโยชน์หรือ value-added อะไรให้กับสังคม แน่นอนว่าดิฉันทำงานสำนักพิมพ์ อยู่ได้ด้วยการจำหน่ายหนังสือและ content
หากเราขายของดี ขายปัญญา ดิฉันก็ไม่อายเด็ดขาดที่จะบอกว่าวันนี้มาขายของนะคะ หลายครั้งดิฉันก็ภูมิใจบอกว่า โครงการนี้ฟรีนะคะ ช่วยกันทำค่ะ ในฐานะองค์กรเอกชน เราโชคดีที่มีความยืดหยุ่นในการเสาะหานวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆ จับมือกับหน่วยงานจากต่างประเทศ ซึ่งหากเรามองตัวเองเป็นหนึ่งตัวต่อของ “เครือข่ายการศึกษา” บทบาทเราชัดเจนทันทีว่า เราเป็นผู้เสาะหานวัตกรรมการเรียนรู้มาสู่ระบบการศึกษาไทย


อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการสร้างเครือข่ายจะราบรื่นเสมอไป จึงอยากทิ้งท้ายบทความชิ้นนี้ด้วยคำพูดของ ดร. ดีพัค ซี เจน อดีตคณบดีของ INSEAD และ Kellogg School of Management ความจริงท่านเป็นอาจารย์ของดิฉันสมัยเรียนที่ศศินทร์ค่ะ วันหนึ่งท่านเขียนบนกระดาษขาว ท่านบอกว่าเขียนไม่ถนัดเลย เพราะลื่น ปกติจะเขียนบนกระดานดำ ท่านจึงให้ข้อคิดพวกเราชาวศศินทร์ว่า “บางครั้งลื่นไปก็ไม่ดี ชีวิตเราต้องการแรงเสียดทานบ้าง จะไม่ได้ล้ม” ดิฉันหวังว่าข้อคิดนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น