วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Personalised Learning เรียนรู้สไตล์ฉันเอง

ทุกวันนี้ หลายธุรกิจสร้างจุดขายด้วย personalisation คือ ออกแบบเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรองเท้าตามสีและวัสดุที่ถูกใจของ Adidas หรือออกแบบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส์ตามสเป๊คที่ต้องการแบบ Dell ในปัจจุบันเรื่องนี้แพร่ขยายมาสู่การศึกษา คือ personalised learning หรือการเรียนรู้ตามศักยภาพเฉพาะบุคคล

เป็นที่รู้กันว่าในหนึ่งห้องเรียน มีทั้งเด็กเก่งและเด็กอ่อน ยกคณิตศาสตร์เป็นตัวอย่าง ความแตกต่างระหว่าง อายุทางคณิตศาสตร์ ของเด็กเก่งสุดและอ่อนสุดมีมากถึง 4 ปี แล้วครูหนึ่งคนที่สอนหน้าห้องควรมีวิธีรับมือกับความต่างนี้อย่างไร ไม่ว่าจะสอนอย่างไรก็จะทั้งคนที่งงมากและเบื่อมาก การสอนแบบกลาง ๆ จึงทำให้การยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้เป็นไปอย่างยากเข็น เด็กที่งง หากงงต่อไปเรื่อย ๆ คงเสียความมั่นในในการเรียนรู้ไปอีกนาน

โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษกล่าวถึง personalised learning ว่าเป็นหนึ่งในอาวุธที่จะช่วยให้เด็กมี “อนาคตที่ยุติธรรม (fair future)” ในการต่อสู้ในสังคมที่แข่งขันดุเดือด มีการทำวิจัยเรื่อง personalised learning พบว่าทำได้หลายวิธี เช่น ลดจำนวนนักเรียน/ห้อง เพิ่มจำนวนครู/ห้อง หรือให้เด็กเรียนพิเศษเป็นกลุ่มย่อย ทั้งสิ้นต้องใช้งบประมาณสูงมาก จึงศึกษาต่อว่าจะใช้เทคโนโลยีมาแก้โจทย์นี้ได้อย่างไร

ปีที่แล้ว UK Trade & Investment Agency แนะนำให้ดิฉันรู้จักกับบริษัท Maths-Whizz ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุน personalised learning ในวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถม ดิฉันเป็นผู้ศรัทธาการเรียนรู้แบบ hands-on จึงไม่ค่อยอยากพบกับบริษัทนี้เท่าไร แต่แล้วพบว่าการบูรณาการเทคโนโลยีอย่างถูกวิธีจะช่วยแก้ปัญหาการศึกษาได้หลายอย่าง วิจัยบอกว่า หากนักเรียนทำ Maths-Whizz 60 นาที/สัปดาห์ติดต่อกัน 12 เดือน อายุคณิตศาสตร์จะพัฒนาขึ้นมากถึง 18 เดือน

ระบบอัจฉริยะคัดเลือกบทเรียนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน ช่วยแก้ปัญหาการจัดการชั้นเรียน เพราะครูไม่ต้องออกแบบบทเรียนให้นักเรียนทีละคน พร้อมมีระบบรายงานให้ผู้บริหาร ครู และผู้ปกครองเห็นถึงพัฒนาการอย่าง real time เป็นรายโรง รายชั้น รายห้อง และรายบุคคล ปัจจุบันรัฐบาลรัสเซียก็เริ่มทดลองระบบนี้แล้ว ทำให้มีระบบรายงานสำหรับกระทรวงศึกษาด้วย ตามหลักบริหารสากลที่ว่า มืออาชีพบริหารงานด้วยตัวเลขและข้อเท็จจริง ถือว่าเป็นหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

บางคนท้าทายว่า หากประเทศไทยเราไม่สามารถมอบ Personalised Learning ให้กับเด็กทุกคนในประเทศได้เพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ เราก็ไม่ควรทำ เพราะไม่ยุติธรรม กระตุกความคิดของดิฉันว่าก้าวแรกของการพัฒนาคืออะไร เราต้องทนกับ “สิ่งถูก ๆ” เพื่อทุกคนจะได้เหมือนกันหรือ หากไม่คิดนอกกรอบ ลองสิ่งใหม่ เราจะหลุดบ่วงได้อย่างไร

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า หากเราต้องการเอาชีวิตรอดในโลกที่เปลี่ยนแปลง เราต้องเรียนรู้ที่จะไม่หยุดนิ่ง One size fits all ไม่มีอีกแล้ว ลูกค้าต้องการ “คุณค่า” เฉพาะบุคคล และหากเราต้องการ “ยกระดับ” การเรียนรู้ของระบบการศึกษาจริง ๆ เราไม่สามารถพอใจกับการบริหารชั้นเรียนแบบ “ค่าเฉลี่ย” อีกต่อไป เพราะผลลัพธ์ก็คือเด็กที่เก่งแบบ “เฉลี่ย”

ดิฉันขอเชิญทุกท่านลองคิดดูว่า ท่านจะสร้าง Personalised Learning ในองค์กรของท่านอย่างไร เพื่อช่วยพัฒนาคนตามศักยภาพและรูปแบบการเรียนรู้แบบเฉพาะตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น