วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Sensory Integration & Active Learning เพื่อสร้าง Active Citizen

Sensory Integration & Active Learning เพื่อสร้าง Active Citizen
โดย คิม จงสถิตย์วัฒนา
kim@nanmeebooks.com


          วันนี้ได้ฟังครูหวาน ธิดา พิทักษ์สินสุข แบ่งปันเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปการศึกษาปฐมวัย ร่วมกับครูอนุบาลอีกกว่า 300 ชีวิตในงานสัมมนา Sensory Integration & Active Learning for Active Citizen รู้สึกตื่นเต้นมาก หลายคนคงกระอักกระอ่วนใจเมื่อเห็นเด็กอนุบาลโตเกินวัย คือ แทนที่จะได้เรียนรู้ผ่านการเล่น กลับต้องติวสอบเข้า ป. 1 ฝึกอ่านเขียน “ก เอือก เกือก” หรือแม้กระทั่งฝึกเขียนคำยาก ๆ เช่น “พระมหากษัตริย์” หรือ “อัฒจันทร์” ขนาดดิฉันยังต้องเปิดพจนานุกรมเลยค่ะ
          ดิฉันเคยถามผู้รู้นะคะว่า ทำไมประเทศเราต้องออกแบบหลักสูตรให้เด็กต้องอ่านออกเขียนได้ บวกลบ กันเอาจริงเอาจังขนาดนี้ เคยเล่าให้เพื่อน ๆ ต่างประเทศฟัง ยังตกใจ จึงเพิ่งมาทราบว่า ความจริงแล้วหลักสูตรของเราไม่ได้กดดันแบบที่เราคิดเลย แต่เป็นระบบการสอบเข้า ป. 1 ต่างหากที่ตั้งธงสูง จึงเกิดปรากฏการณ์เรียนเพื่อเตรียมสอบเข้า ป. 1
          ครูหวานเล่าว่า ความจริงผู้ใหญ่ของประเทศก็เห็นด้วยนะคะ ว่าอายุ 3-6 ปีเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ พัฒนาศักยภาพได้สูงสุด เป็นเวลาที่ควรเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก นั่นก็คือ เรียนรู้ผ่านการเล่น เรียนรู้จากปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัว พัฒนา Sensory Integration (ประสาทรับสัมผัส เอ็นข้อต่อ การเคลื่อนไหวและการทรงตัว) พัฒนา Executive Function (EF) พัฒนาทักษะชีวิต ฝึกคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ กำกับตัวเอง เข้าใจตัวเองและผู้อ่าน ซึ่งเราสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้ได้ หากจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning คือ เด็ก ๆ ได้เรียนรู้แบบ hands-on ปฏิบัติจริง

          ครูหวานแบ่งปันว่า ทิศทางปฏิรูปการศึกษาปฐมวัยจะมีการพูดถึงการออกแบบรอยต่อระหว่างอนุบาลและประถมให้แนบเนียน เหมาะสมมากขึ้น ยกเลิกการสอบเข้าอนุบาล สอบเข้า ป.1 ไม่ส่งเสริมเรื่องการประกวดหรือแข่งขัน  และหยุดการใช้เทคโนโลยีจอภาพในการจัดการเรียนรู้ปฐมวัย เป็นต้น
          พูดถึงตรงนี้ มีครูจากหลายโรงเรียนแลกเปลี่ยนอย่างโล่งอก เพราะหลายคนเห็นด้วยกับการจัดการเรียนรู้แบบนี้ แต่ไม่รู้จะต้านกระแสสังคมอย่างไร เมื่อไม่ได้ให้การบ้านเด็ก ก็จะถูกผู้ปกครองต่อว่า เมื่อไม่ได้เน้นเรื่องการเขียน ก็กลัวว่าลูกศิษฐ์จะเข้า ป. 1 ไม่ได้ ทุกวันนี้ ถึงแม้จะพยายามจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (project based learning) แต่ก็ต้องมีช่วงติวสอบด้วย
          ดิฉันได้แบ่งปันว่าโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เป็นอีกเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยครูให้จัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ โดยใช้วัฐจักรการสืบเสาะ (inquiry cycle) ซึ่งมีตัวอย่างให้ลงมือทำกันด้วย บนโต๊ะของแต่ละกลุ่มมีกะละมังใส่น้ำ มีแหวนโลหะ 20 วง มีหลอด ไม้เสียบลูกชิ้น คลิบหนีบกระดาษ ดินน้ำมัน แผ่นพลาสติก และให้ออกแบบภาชนะที่จะบรรจุแหวนจำนวนมากที่สุดและลอยน้ำได้ ทุกคนสนุกสนานกันใหญ่ ระหว่างทำจะเกิดกระบวนการตั้งคำถาม รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและบรรยาย บันทึกข้อมูล และอภิปรายผล แต่ละกลุ่มก็ตั้งคำถามไม่เหมือนกัน
นอกจากกิจกรรมวิทยาศาสตร์ งานนี้ยังมีวิทยากรอีกท่านจากไต้หวัน Mr.Elton Chiu จาก We Play มาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการใช้สื่อการเรียนรู้พัฒนา Sensory Integration นอกจากการเรียนรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 (มองเห็น ได้ยิน ฟัง ดม สัมผัส) SI พูดถึงการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ทางร่างกาย การเคลื่อนไหว พัฒนาเอ็นข้อต่อ  และการทรงตัวอีกด้วย
          Mr.Elton แชร์ว่าเด็กอนุบาลจำเป็นต้องพัฒนา SI อย่างมาก หากเด็ก ๆ มีโอกาสได้ฝึกการมองผ่านการเล่น จะช่วยเรื่องมิติสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างมือและตา การเล็งเป้า ต่อไปเวลาอ่านหนังสือ จะไม่มีปัญหาเรื่องการอ่านข้ามบรรทัดโดยไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องการฟังจะละเอียดอ่อน เป็นไหมคะที่เวลาคนพูดว่า wait และ weight หรือ knows และ nose เรามักจะฟังสลับกัน เพราะฉะนั้นหากเราพัฒนาทักษะการฟังแต่เล็ก การรู้จำเสียง จับคู่เสียง และจดจำเสียงจะไม่เป็นปัญหา


          ด้านประสาทรับสัมผัสยิ่งสำคัญมาก เคยเห็นเด็กบางคนที่เวลาถูกเพื่อนสะกิดแล้วจะตกใจกลัวมากไหมคะ หรือเวลาเดินเท้าเปล่าบนทรายและรู้สึกกลัว รู้สึกเจ็บ เพราะฉะนั้นเราต้องกระตุ้นประสาทรับสัมผัสให้เหมาะสม เพราะยังช่วยเรื่องกล้ามเนื้อมัดเล็ก และความมั่นคงทางอารมณ์ด้วย มีครูท่านหนึ่งตั้งคำถาม “ที่โรงเรียนมีเด็กคนหนึ่งที่ร้องไห้เมื่อถูกสัมผัส บางครั้งแค่มีคนเดินผ่าน ก็ร้องไห้” Mr.Elton บอกว่านี่เป็นตัวอย่างของเด็กที่ไม่ได้ถูกฝึกเรื่องนี้มา สิ่งที่ทำได้ คือ ครูเอาลูกบอลนวดยางสัมผัสไล้ไปตามแขนขา พร้อมคุยกับเด็กด้วยเสียงนุ่มนวล เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่า การสัมผัสเป็นเรื่องที่ปลอดภัย ไม่น่ากลัว


          เมื่อมีครูถามว่าจะจัดกิจกรรมสำหรับเด็กธรรมดาและเด็กสมาธิสั้นร่วมกันอย่างไร Mr.Elton ยกตัวอย่างว่า หากให้เด็ก ๆ เดินบนคาน เด็กสมาธิสั้นจะอยากเดินเร็วมาก และอาจแซงคิว ครูอาจให้เด็กคนนั้นถือถุงทรายบนอุ้งมือทั้งสองข้าง จะทำให้เดินยากขึ้น ต้องใช้สมาธิ และค่อย ๆ เดิน


          ดูเหมือนการจัดการเรียนรู้แบบ Sensory Integration และ Active Learning ไม่ยากเกินเอื้อม จึงขอเชิญชวนครูที่อ่านบทความนี้ลองไปคิดต่อนะคะ ว่าจะไปปรับใช้ในห้องเรียนของท่านอย่างไร


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น