วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เพราะคุณเป็นเอกชน ภาคสอง

เพราะคุณเป็นเอกชน ภาคสอง

โดย คิม จงสถิตย์วัฒนา



          จากยุคที่รุ่นคุณแม่ดิฉันถูกมองด้วยสายตาอาฆาตว่า “พวกคุณบริษัทเอกชน จ้องมองแต่จะขายของ เอาเปรียบรัฐ” (ทั้ง ๆ ที่ของที่ต้องการขายคือหนังสือ) มาสู่ยุคประชารัฐ ที่ต้องการผนึกกำลังภาครัฐและเอกชนมาช่วยกันพัฒนาประเทศ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ โครงการประชารัฐที่เชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาช่วยกันพัฒนาการศึกษา ไม่มีบริษัทด้านการศึกษาใดถูกเชิญให้เข้ากลุ่มกันสักราย ดูเหมือนแต่จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเข้าร่วมเท่านั้น หรือพวกเราไม่ได้ใหญ่พอ หรือมีหน้าตาในสังคมเพียงพอ?!?
          ทำไมพวกเราที่มีความตั้งใจประกอบกิจการด้านการศึกษา ซึ่งก็รู้ดีอยู่ว่าไม่ได้ทำเพราะอยากรวย พวกเราลงทุนศึกษาเรียนรู้ best practice จากที่ต่าง ๆ ลงทุนด้านเนื้อหาและนวัตกรรมเองทั้งหมด ไม่ได้ไปเอาเงินของรัฐมาทำเลย ถึงไม่ได้อยู่ในสายตา เวลาปรึกษาว่าแบบนี้ดีไหม ประเทศเราต้องการไหม ก็ว่าดี พอเราลงทุนเสร็จแล้ว เป็นภาษาไทยหมดแล้ว เชื่อมโยงหลักสูตรแกนกลางเสร็จแล้ว สนใจจะซื้อไหม มักจะได้คำตอบว่า ซื้อไม่ได้เพราะคุณเป็นเอกชน ทำไมคุณไม่ให้ฟรีล่ะ ฮืมมมมม ตอบไม่ถูกเหมือนกันแฮะ หรือเวลาเชิญเราไประดมความคิด ไอเดียดี ๆ ของเราที่ถูกตีพิมพ์ในบันทึกการประชุมจะไม่ให้เครดิตเรา แต่จะเขียนว่า “สนับสนุนโดยภาคเอกชนต่าง ๆ” แต่ดันใส่ชื่อทุกองค์กรรัฐแบบเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่บางคนไม่ได้พูดความเห็นตัวเองด้วยซ้ำ หากชื่อเราไม่ดีพอแม้กระทั่งให้เครดิต ทำไมถึงเชิญเราไป?!?
          ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมการสัมมนาของบริษัทด้านการศึกษาชั้นนำของยุโรป แต่ละประเทศมีตัวแทนจากเพียงบริษัทเดียว แลกเปลี่ยนถึงแนวโน้มด้านการศึกษา ความท้าทายที่พบเจอ ได้เรียนรู้อะไรเจ๋ง ๆ หลายอย่าง อาทิเช่น ประเทศฝรั่งเศส ที่ใคร ๆ มักนินทาว่ามีระบบการศึกษาที่เป็นอนุรักษ์นิยมสุด ๆ มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมาก ฝรั่งเศสเพิ่งปรับปรุงหลักสูตร โดยตั้งนโยบายว่า นอกเหนือจากเนื้อหาหลักที่ต้องการให้นักเรียนรู้ ยังต้องการบูรณาการทักษะในการเรียนรู้ (learning how to learn) ด้วย เช่น สำหรับสาระวิชาประวัติศาสตร์ กำหนด 7 ทักษะ รวมถึง การเอาตัวเองไปอยู่ในเวลานั้น ที่นั้น สามารถอธิบายว่าทำไมถึงใช้วิธีการนี้หรือตัดสินใจแบบนี้ หาข้อมูลจากโลกดิจิตัลเป็น วิเคราะห์และอ่านเอกสารอย่างเข้าใจได้ ใช้ภาษาที่หลากหลายได้ ทำงานเป็นทีมและแบ่งปันข้อมูลได้ เป็นต้น
          บรรณาธิการหนังสือเรียนของกลุ่ม Editis ของฝรั่งเศสเล่าถึงกระบวนการที่รัฐบาลสื่อสารเป้าหมายในการปรับปรุงอย่างชัดเจนให้เหล่าบริษัทด้านการศึกษา เพื่อให้รับโจทย์ไปปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ของตัวเอง บรรณาธิการทีมนี้ใช้เวลา 8 เดือนพัฒนาสื่อการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ออกมาดีมาก ๆ ดิฉันได้เห็นก็ต้องร้องว้าว เช่น พอจบหนึ่งบท แทนที่เด็ก ๆ ทุกคนต้องทำแบบฝึกหัดทบทวนเหมือนกัน ก็สามารถเลือกได้ว่า ต้องการเขียน (ก็มีโจทย์แบบหนึ่ง) หรือพูด (ก็มีโจทย์อีกแบบหนึ่ง) เพื่อตอบโจทย์ Personalised Learning หรือแทนที่จะได้เรียนเนื้อหาแบบทื่อ ๆ ก็มีการสร้างเรื่องราว เช่น “สมมุติว่าคุณเป็นทูตจากประเทศจีนไปกรุงโรม ...” และมีการให้ทำโครงงาน เช่น “หากคุณเป็นนักข่าว ต้องไปทำข่าวเกี่ยวกับชุมชน... มีคำใบ้...” แล้วก็ให้ทีมนักข่าวไปสืบเสาะหาความรู้ แล้วเขียนชิ้นงานเป็นบทความเป็นต้น สุดยอดไหมคะ
          กระทรวงศึกษาของฝรั่งเศสยังเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ไม่ใช่ลงทุนเรื่อง hardware อย่างเดียวแบบประเทศเรานะคะ เป็นพี่ใหญ่วางระบบ   platform ส่วนกลางเชื่อมโยงผู้ผลิตเนื้อหาเข้ากับโรงเรียน อาทิเช่น มีการทำอีแค๊ตตาล๊อครวมสื่อการเรียนการสอนดิจิตัลทั้งของรัฐและเอกชน มีระบบ GAR ที่เป็น portal กลางในการมอบหมายการบ้านให้กับนักเรียน หรือระบบ   BRNE ที่เป็นระบบฐานข้อมูลรวมสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ของทุกวิชา ที่กระทรวงเขียนสเป๊คกลางขึ้นมา (และไม่ได้ล๊อคสเป๊คด้วยนะคะ) และเปิดประมูลให้บริษัทด้านการศึกษาต่าง ๆ มาประมูล ใครเด่นเรื่องวิชาไหน หรือหัวข้อไหน ก็มาทำในหัวข้อนั้น และเนื่องจากเป็นสื่อดิจิตัล บางคนก็ได้งานเยอะ บางคนก็ได้งานน้อย แล้วแต่ความเชี่ยวชาญจริง ๆ
          ฟินแลนด์ก็ทำแบบนี้นะคะ กระทรวงศึกษาเขาลงทุนสร้าง platform กลางขึ้นมาชื่อ EduStore เป็นพื้นที่ให้บริษัทด้านการศึกษาเอาสื่อการเรียนรู้ดิจิตัลมาวางขาย ใส่ตามหมวดกลาง โรงเรียนก็มาจับจ่ายใช้สอยเนื้อหาหรือโมดูลที่ต้องการ ซื้อเยอะก็ค่อย ๆ ถูกลง ฝั่ง market place   ของ   platform นี้จะเชื่อมโยงกับระบบบริหารการเรียนรู้ (learning management system) และบริหารจัดการ (school management system) ของแต่ละโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนก็จัดการตัวเอง และเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกัน คือ single log-in

          ถึงแม้ว่าบริษัทด้านการศึกษาเหล่านี้เป็นกังวลว่าระบบกลางแบบนี้จะจำกัดวิธีทำการตลาดแบบปัจเฉก แต่สำหรับดิฉันรู้สึกว่าปรากฏการณ์นี้สุดยอดมาก เพราะเห็นถึงวิสัยทัศน์ของกระทรวงศึกษาในประเทศเหล่านี้ มองไปข้างหน้า ไม่ได้แค่คิด แต่ทำจริง เชิญชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่วางแผน สร้างตลาดที่อิสระและเป็นธรรม เพราะสำหรับพวกเราที่ทำธุรกิจ สิ่งที่เราต้องการคือตลาดที่เสรี เป็นธรรม และมีการแข่งขัน เพราะผู้เลือกคือผู้ใช้ หากเราทำสื่อการเรียนการสอนที่ดี บริการดี ผู้ใช้ก็จะเลือกซื้อเอง แต่ความเป็นจริงในประเทศไทยของเรา ระบบนิเวศน์นี้ไม่เอื้ออย่างแรง ไม่รู้ต้องทำอย่างไร ใครมีไอเดียก็เขียนมาบอกนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น