วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ลูกเป็นคนพิเศษนะ

พบกับไมโล เด็กชายตัวเล็ก ใส่แว่น ทุกวันก่อนออกจากบ้าน ไมโลจะมองกระจกแล้วถามตัวเอง “วันนี้ฉันจะเป็นอะไรดีนะ”

วันหนึ่ง เพื่อน ๆ เล่นเกมสัตว์ป่า ไมโลขอเล่นเป็นสิงโต แต่เพื่อน ๆ บอกว่า ผอมอย่างนี้เป็นสิงโตไม่ได้หรอก เป็นลิงละกัน ไมโลจึงจำใจเล่นเป็นลิงหงอย

เมื่อกลับบ้าน ไมโลส่องกระจกมองตัวเอง เมื่อแม่ถามว่าเห็นอะไร ไมโลบอกว่าเห็นลิง แม่ตอบว่า “คงสนุกน่าดูเลยนะ ถ้าเราโหนตัวไปตามต้นไม้กับเพื่อน ๆ” ไมโลยิ้มแป้น “จริงสิฮะ” แล้วทำหน้าลิงใส่แม่

วันต่อมา เด็ก ๆ เล่นเกมโจรสลัด ไมโลขอเป็นกัปตัน เพื่อน ๆ ปฏิเสธเพราะไมโลตัวเตี้ยเกินไป เลยถูกมอบหมายให้เป็นกะลาสีเรือ

เย็นนั้นไมโลส่องกระจกมองตัวเองอย่างครุ่นคิด และบอกแม่ว่าอยากตัวสูง จะได้เป็นกัปตันโจรสลัด แม่บอกว่า “ลูกสูงแบบนี้ดีแล้วนะจ๊ะ จะได้ปีนขึ้นไปบนยอดใบเรือ คอยเป็นยามระวังภัยได้” ไมโลตื่นเต้น “จริงหรือฮะ ผมไม่เคยรู้เลย”

วันรุ่งขึ้น เด็ก ๆ เล่นเกมเจ้าหญิง เจ้าชาย ไมโลขอเป็นเจ้าชาย แต่...อด “เจ้าชายต้องหล่ออย่างฉันนี่” สุดท้ายไมโลต้องเป็นอัศวินแสนเศร้าแทน

เมื่อถึงบ้าน แม่เห็นไมโลมองกระจกจึงถามว่า “ลูกมองเห็นใครจ๊ะ” ไมโลบอกแม่ว่ามองเห็นอัศวิน “ดีจังเลย แม่เห็นประกายเสื้อเกราะที่ลูกใส่ก็รู้ทันที ว่าลูกแม่ต้องเป็นคนกล้าหาญแน่ ๆ เพราะคนกล้าหาญเท่านั้น ถึงได้รับเลือกเป็นอัศวิน” “จริงหรือฮะ” ไมโลประหลาดใจ “โห เท่ไปเลย” ไมโลจึงเล่นสู้กับมังกร

วันต่อมา เด็ก ๆ เล่นเป็นนักบินอวกาศ ไมโลอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่เพื่อนไม่ให้ เพราะไมโลใส่แว่น เดี๋ยวสวมหมวกนักบินอวกาศไม่ลง จึงต้องเล่นเป็นมนุษย์ต่างดาวสีเขียวแทน

เย็นนั้น ไมโลถามแม่ว่า “ผมเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากไหม” “ลูกก็เหมือนตัวลูกนั่นแหละ มีสองตา หนึ่งจมูก และหนึ่งปาก แต่ที่ลูกพิเศษกว่าใคร เพราะลูกเป็นไมโลเด็กดีของแม่ไงล่ะ” พร้อมบอกต่อว่า ถ้าได้เป็นมนุษย์ต่างดาว ถือว่าโชคดีมาก เพราะได้ไปเที่ยวในอวกาศ แต่ยังพูดภาษาต่างดาวได้ด้วย

วันรุ่งขึ้น เด็ก ๆ เล่นเป็นสัตว์ทะเล มีแต่คนแย่งเป็นปลาฉลาม ไมโลบอกเพื่อน ๆ ว่า “ฉันรู้แล้ว ฉันจะเป็นปลากระเบนที่เก่งกล้า จะได้ซ่อนตัวอยู่ใต้ทราบแล้วว่ายออกมาให้ทุกคนสะดุ้งโหยงเลย!” เพื่อน ๆ คิดว่าเป็นไอเดียที่เยี่ยมยอดที่สุด ทุกคนเล่นอย่างสนุกสนาน

เย็นนั้น ไมโลมองตัวเองในกระจก แล้วถามตัวเองว่าเห็นอะไร “แม่พูดถูก ฉันเป็นอะไรก็ได้ที่ฉันอยากเป็น เพราะฉันเป็นฉันเองไงล่ะ”

วันนี้ดิฉันเล่านิทานจากหนังสือ “ลูกเป็นคนพิเศษนะ” โดย Ann Meek ให้ฟัง เพราะเพิ่งผ่านประสบการณ์ที่น่าเศร้าค่ะ เพื่อนรักคนหนึ่งทำร้ายตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีแสงสว่างในชีวิต ปราศจากแรงผลักให้สู้ต่อ

เมื่อมองไปรอบตัว ดิฉันพบว่าปรากฎการณ์แบบนี้มีมากแบบไม่คาดคิด ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ ที่สำคัญ เกิดขึ้นโดยพวกเราไม่รู้ตัว นั่นคือ ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คิดว่าตัวเองดีไม่พอ ไม่คู่ควร

เมื่อสองปีที่แล้ว ดิฉันและทีมงานจัดทำหนังสือเรื่อง “ถ้วยฟูรักตัวเอง” โดย Trace Moroney ตอนนั้นมีการโต้เถียงว่า หากเราตั้งชื่อแบบนี้ จะทำให้เด็ก ๆ เข้าใจผิด สับสนกับคำว่า “หลงตัวเอง” หรือคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นหรือไม่ สุดท้าย เราสรุปว่า การรักตัวเอง คือ “ความกล้าหาญพอที่จะยอมรับตัวเราในแบบที่เราเป็นจริง ๆ”

วันนี้ดิฉันจึงขอชวนพวกเราคิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ลูกหลานของเรา (หรือแม้แต่ตัวเรา) เห็นคุณค่าของตัวเองค่ะ จึงขอยกข้อแนะนำของคุณ Ann Meek มาแบ่งปันกันนะคะ

อันดับแรก คือ ช่วยให้เด็กค้นพบตัวเอง ทุกคนเกิดมาไม่เหมือนกัน มีความชอบและความถนัดไม่เหมือนกัน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เปิดโอกาสให้ทดลองพบสิ่งใหม่ ๆ

อันดับที่สอง คือ การตั้งเป้าหมาย สร้างความคาดหวังที่เป็นไปได้ และวัดผลกับตัวเอง ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ต่อมา คือ จัดการกับข้อขัดแย้งในใจ เด็ก ๆ จะเจอความคิดที่ขัดแย้งจากทุกที่ ไม่ว่าจะจากเพื่อน จากครู จากพ่อแม่ และจากตัวเอง การพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกผ่อนคลาย กล้าเข้าหา และเล่าให้เราฟังถึงความคิดที่สับสนของเขาอย่างธรรมชาติและไม่บังคับ 
ข้อสุดท้าย คือ การพูดคุยเชิงบวก คุณพ่อคุณแม่มีบทบาทสำคัญที่จะให้กำลังใจ ให้ข้อคิดเชิงบวก เราจะเห็นพัฒนาการเชิงความคิด เพื่อตลบ “ความสงสัยในคุณค่าของตัวเอง” กลับมาสู่ความรักตัวเองค่ะ  


ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่าลืมบอกลูกว่า “ลูกเป็นคนพิเศษนะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น