วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อ่านหนังสือวิทย์-คณิตไม่ให้เบื่อ

“เราก้าวทะลุโปสการ์ดได้อย่างไร”
!?!? งงใช่ไหมคะ

สัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันมีโอกาสไปร่วมการสัมมนา “ทำอย่างไรให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องน่าอ่านสำหรับเยาวชน” จัดโดยกรุงเทพมหานคร และนี่เป็นคำถามที่ Professor Dr. Albrecht Beutelspacher ผู้ก่อตั้ง Mathematikum พิพิธภัณฑ์คณิตศาสตร์ Hands-on แห่งแรกในโลกถามขึ้น

ขอย้อนเวลาไป 5 ปี ระหว่างที่ คุณแม่ (สุวดี จงสถิตย์วัฒนา) ไปทำงาน ณ Frankfurt Book Fair เพื่อนรักชาวเยอรมัน Joachim Hecker ก็เล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับ Mathematikum ท่านจึงนั่งรถไฟไปเมืองกีเซ่น (Giessen) เพื่อไปดูว่าพิพิธภัณฑ์คณิตศาสตร์เป็นหน้าตาเป็นอย่างไร และทำให้เป็น hands-on ได้อย่างไร

ตอนนั้น ท่านอีเมลให้ลูก ๆ ฟังอย่างตื่นเต้นว่า “อยากให้เด็กไทยมีแหล่งเรียนรู้แบบนี้บ้าง”
และแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย

เมื่อดิฉันซื้อลิขสิทธิ์หนังสือคณิตศาสตร์ hands-on ของดร. อัลเบรท มาแปลเป็นภาษาไทย และเตรียมไปขอทุนจากสถาบันเกอเธ่เพื่อเชิญ ดร.อัลเบรทมาอบรมครูคณิตศาสตร์ชาวไทย
สถาบันเกอเธ่ก็ลงทุนสร้างนิทรรศการเคลื่อนที่ของ Mathematikum ไปทั่วโลก ตอนนี้อยู่อินเดีย และปีหน้าจะมาเมืองไทย! จึงตอบตกลงทันที เพราะทิศทางเดียวกัน

พร้อมกันนั้น กรุงเทพมหานครวางแผนจัดสัมมนาเรื่องทำอย่างไรให้เด็กไทยไม่กลัวหนังสือวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ดร.อัลเบรทเลยได้มาร่วมตั้งคำถามและแบ่งปันความคิดกับพวกเราค่ะ
ท่านใช้ 3 วิธี คือ 
     1. ตั้งคำถามกวน ๆ ที่พิสูจน์ได้การทดลองคณิตศาสตร์แบบ hands-on เช่น “เราก้าวทะลุโปสการ์ดได้อย่างไร
     2. ลับสมองด้วย brainteaser แบบคณิตศาสตร์ เช่น “ทำอย่างไรให้วัวกินหญ้าเป็นรูปครึ่งวงกลม และ 
     3. ผ่านการเล่านิทาน

ท่านเล่าว่า ท่านก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ Mathematikum เป็นเพราะตอนท่านสอนนักศึกษาที่จะมาเป็นครูคณิตศาสตร์ รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก จับต้องไม่ได้ จึงร่วมมือกับนักศึกษาสร้างสถานีการทดลองคณิตศาสตร์แบบ hands-on ขึ้น เพื่อให้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่จับต้องได้ ปัจจุบันนอกจากมีนิทรรศการประจำที่เมืองกีเซ่น ยังมีนิทรรศการเคลื่อนที่ไปโรงเรียนและชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลก

ไม่กี่ปีที่แล้ว มีมูลนิธิของบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีคิดหนักว่า ควรใช้เงินกับโครงการประเภทไหนดี สุดท้ายทำโครงการพัฒนาครูคณิตศาสตร์ระดับประถมสอนคณิตศาสตร์ได้แบบ hands-on และสนุกสนาน เพื่อสุดท้ายสามารถสร้างคนที่มีพื้นฐานความคิดแบบมีตรรกะ ช่วยกันพัฒนาประเทศ!
คิดไกลมากใช่ไหมคะ

ในงานสัมมนา Dr. Norbert Spitz ผอ. สถาบันเกอเธ่ ยังกล่าวถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่ก่อน เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างในการเล่น เล่นเป็นกลุ่ม คือแบบ hands-on ซึ่งสามารถฝึกทักษะสังคม การแก้ปัญหา แต่เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ มักเล่นคนเดียว คือ เล่นคอมพิวเตอร์ สื่อสารทางเดียว ทำให้ไม่ค่อยตั้งคำถาม
เพราะฉะนั้นการวางกลยุทธให้เด็กไทยอ่านหนังสือแนววิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องสำคัญ และทำได้ง่าย เพราะการอ่านนำสู่การตั้งคำถาม และต้องค้นหาคำตอบด้วยการปฏิบัติจริง เรื่องนี้จะทำได้ง่ายขึ้นหากครูและผู้ปกครองสร้างเวทีให้เกิด

ดิฉันขอปิดท้ายบทความด้วยคำกล่าวปิดงานของ มรว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร คือ “เราไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ และไม่ใช่ทุกคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ เราเพียงต้องการให้คนไทยรู้จักคิดแบบเป็นวิทยาศาสตร์” ซึ่งดิฉันเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น