วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

HIVE ท่องเที่ยวเพื่อสังคม

เมื่อพี่เอด้า จิรไพศาลกุล ผู้ก่อตั้ง TYPN (Thailand Young Philanthropist Network) ชวนไปทำนาโยน ดิฉันตอบรับทันที เพราะไม่เคยปลูกข้าว ที่สำคัญ มั่นใจว่าทริปนี้ต้องได้พบเพื่อนใหม่ที่ใส่ใจเรื่อง “สังคม” เหมือนกันแน่นอน

TYPN เป็นเครือข่ายคนหนุ่มสาวที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยทักษะวิชาชีพของตน พร้อมสนับสนุนให้เกิดกิจการเพื่อสังคม (SE: Social Enterprise) ขึ้นอีกด้วย SE เป็นธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ประเด็นสังคมที่ผู้ก่อตั้งเชื่อและศรัทธา โดยมีโมเดลการทำธุรกิจที่สร้าง impact วัดผลได้ และยั่งยืน


ทริปครั้งนี้เป็นฝีมือจัดของ SE เจ้าหนึ่ง ชื่อ HIVE เป็นบริษัททัวร์เพื่อสังคม ก่อตั้งโดยสองสาวพี่น้อง อชิและมิ้นท์ อชิเคยทำงานที่ยูนิลีเวอร์ ส่วนมิ้นท์เคยเป็นทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติ โดยมีคอนเซ็ปเสาะหาสถานที่ที่คนไม่ค่อยไป ที่ชาวบ้านทำกิจกรรมที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา มาออกแบบเป็นโปรแกรมเที่ยวที่ hands-on สนุก และเป็นวิถีแบบยั่งยืน (sustainable tourism) นอกจากจะได้เพิ่มคุณค่าและรายได้ให้กับชาวบ้านแล้ว ยังสร้างความหมายให้นักเดินทางอย่างพวกเราด้วย

ครั้งนี้ HIVE พากลุ่ม TYPN ไปทำนาโยนที่กรีนลิฟวิงแคมป์ จ.นครปฐม ถือเป็นฟาร์มข้าวออแกนิกไม่กี่เจ้าที่ผ่านการรับรองระดับโลก ไม่ใช่แค่ไม่ใส่สารเคมี แต่เป็นการปรับระบบนิเวศโดยรอบให้เป็นไปตามครรลองของออแกนิก โดยมีกำลังสำคัญเป็นเป็ด 200 ตัว ซึ่งต้องออกจากเล้าไปทำงานทุกวันตอนเก้าโมง เวลาเป็ดว่ายน้ำเล่น บินเล่น ปีกที่กระพือจะปัดโดนต้นข้าว ไล่แมลงที่ซ่อนอยู่ เท้าคุ้ยดิน กวนวัชพืน และปล่อยปุ๋ย (อึ) ตลอดทาง

ถือเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก ได้ประสบการณ์จากทุกประสาทสัมผัส เพราะทั้งได้ความรู้จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพี่ยุทธและพี่ยุง สองพี่น้องที่ผันตัวเองมาเป็นชาวนาออแกนิก และได้ลองทำด้วยมือตัวเองด้วย พวกเราได้ไปตีนา (เตรียมดิน) ถอนกล้า และโยนกล้า


การทำนามีหลายวิธี เช่น หว่าน ปักดำ และโยนนา แต่ถ้าจะปลูกข้าวออแกนิกต้องใช้วิธีโยนนาค่ะ ความจริงดิฉันเคยโยนกล้าครั้งหนึ่งตอนจัด Nanmeebooks Science Festival ปี 2556 ครั้งนั้นจัดธีม “เกษตรกรรมลองทำดู” ได้ต้นกล้าจากกรมการข้าวมา 5,000 ต้น ตอนนั้นไม่เข้าใจ ขอตามจำนวนเด็กนักเรียนที่ลงชื่อมาร่วมงาน ตอนทดสอบกิจกรรม ก็โยนกันคนละ 1 ต้น เพิ่งมาถึงบางอ้อว่าเวลาโยนจริง ๆ ต้องโยนทีละกำเลยค่ะ สนุกมาก เพราะต้องลุยโคลนจริง ๆ พวกเราไปกัน 24 คน ยืนเรียงแถวที่ฝั่งหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เดินถอยหลัง ถอยไปด้วย โยนกล้าไปด้วย พอถึงอีกฝั่ง ก็โยนกล้าครบพอดีค่ะ และด้วยกฎของแรงโน้มถ่วง ตุ้มของต้นกล้าก็จะปักดินพอดีเลยค่ะ มหัศจรรย์เหลือเกิน

ข้าวที่ปลูกคือพันธุ์ปิ่นเกษตร อร่อยมาก และทริปนี้ทำให้ดิฉันรู้ว่าข้าวกล้องงอกก็คือข้าวกล้องที่ผ่านกระบวนการให้งอก ซึ่งจะให้ประโยชน์ทางโภชนาการมากขึ้น ก่อนหน้านี้ดิฉันนึกว่าข้าวกล้องงอกคืออีกพันธ์ คุณอาจคิดว่าดิฉันเด๋อนะคะ ทำไมไม่รู้ ทริปนี้ทำให้ดิฉันรู้ตัวว่าไม่รู้หลายอย่างมากค่ะ ประเด็นคือ การที่ได้เรียนรู้ด้วยวิธีที่หลากหลาย ในสถานที่ที่แปลกใหม่ กับกลุ่มคนที่หลากหลาย เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญและมีประสิทธิผลมากจริง ๆ ค่ะ

นี่คือ project based learning ที่ดีเยี่ยม พวกเราทั้ง 24 คนมีโจทย์ตั้งต้นที่ไม่เหมือนกัน บ้างสนใจเรื่องข้าวออแกนิก บ้างสนใจเรื่องกิจการเพื่อสังคม บ้างสนใจเรื่อง sustainable tourism บ้างต้องการเพื่อนใหม่ สารพัดโจทย์มาพร้อมกับกิจกรรมที่หลากหลาย มาพร้อมกับการพูดคุย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (ที่มักจะต่างกัน) ลงมือทำจริง ซึ่งทุกกิจกรรมก็สร้างแรงบันดาลใจให้อยากรู้เรื่องอื่นต่อ เด้งไปเด้งมา จนเมื่อสิ้นวัน แต่ละคนก็ได้คำตอบที่อาจจะต่างและอาจจะเหมือน เท่านั้นไม่พอ ความประทับใจยังคงอยู่จนอยากมาเล่าต่อให้เพื่อนฟัง ถือเป็นการตอกย้ำความเข้าใจและความคิดเห็นให้ตัวเองอีกรอบ

ดิฉันขอชื่นชมพี่ยุทธและพี่ยุงที่ใจกล้าและใจกว้างพอที่มาปลูกข้าวออแกนิกให้คนไทยได้กิน ขอแสดงความยินดีกับสองสาว อชิและมิ้นท์ ที่ก่อตั้ง HIVE และทำได้อย่างดีเยี่ยม และขอบคุณ  TYPN ที่รวมพลคนรุ่นใหม่ที่ไม่ทิ้งขว้างความรู้ที่เรียนมา มาสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมไทยของเราค่ะ

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

วันก่อนมีเพื่อนมาปรับทุกข์ว่า ภรรยาของเขาอาจนอกใจ หนำซ้ำทุกครั้งที่เงินเดือนเข้า ภรรยาจะกดเอทีเอ็มออกไปหมด แล้วให้เงินเขาเป็นวัน ความจริงแล้วการที่ภรรยากุมกระเป๋าเงินเป็นเรื่องปกติของหลายบ้าน หากเข้าใจกัน มีเหตุมีผล ก็น่าจะโอเค แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ

สัปดาห์ที่แล้วได้พบเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย เล่าให้ฟังว่าทำไมถึงหย่ากับสามี ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคู่ที่เพอร์เฟ็ก แต่แท้ที่จริง ถูกสามีคุกคามจิตใจ ดูถูกต่อว่า ใช้คำพูดเชือดเฉือนหัวใจเสมอ “อย่างเธอ ไม่มีวันเป็นแม่ของลูกฉันหรอก” “เธอทำให้ฉันอยากอ๊วกเป็นเลือด” ทำลายความเคารพตัวเองและความเชื่อมั่นในเพื่อนของดิฉันจนหมด ทุกครั้งที่เงินเดือนออก ต้องเบิกเงินทั้งหมดพร้อมสลิปเงินเดือนไปให้สามี ให้เงินเป็นวันเหมือนกัน หากต้องการซื้ออะไรต้องขอเป็นครั้ง ๆ ไป ตอนหนีออกมา ไม่มีเงินสักแดง
แปลกแต่จริง นิยายที่ดิฉันอ่านอยู่มีเค้าโครงคล้ายกัน นางเอกเคยเป็นสาวน้อยที่เต็มไปด้วยไฟและจิตวิญญาณ แต่เมื่อถูกพรากจากแม่ ให้ไปอยู่กับพ่อใจร้าย กดขี่ทางจิตใจหลายปี ไม่ให้แสดงอารมณ์ ความคิดเห็น ก็ทำให้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง จนกว่าจะมีเพื่อนดี มีคนรักที่ส่งเสริมให้รักและเห็นคุณค่าของตัวเอง ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา ยืนหยัดต่อสู่เพื่อตัวเองได้

ตอนดิฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เคยเป็นอาสาสมัครในเซฟเฮ้าส์ดูแลผู้หญิงที่ถูกทำร้าย (domestic violence) ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าการถูกทำร้าย ไม่ใช่เพียงทางกาย แต่เป็นทางใจด้วย บางคนไม่เคยถูกทุบตี แต่ถูกดุด่า ควบคุม ยึดทุกสิ่งอย่างที่จะทำให้อยู่รอดด้วยตัวเองได้ เช่น ไม่ให้เงิน ไม่ให้ออกจากบ้าน ขู่ว่าหากออกจากบ้านจะฆ่า ฯลฯ สะท้อนให้คิดว่า หากเรา (หรือเพื่อนของเรา) ตกอยู่ในสภาพนั้น จะต้องทำอย่างไร

พนักงานบริษัทนานมีบุ๊คส์ส่วนมากเป็นผู้หญิงค่ะ ตั้งแต่ทำงานมามีประมาณ 10 คนแล้วที่ลาออกเพราะแฟนบังคับให้ออก ไม่ใช่ว่าไม่สนุกกับงาน แต่แฟนบอกว่า เป็นห่วง ไม่อยากให้ทำงานดึกถึงหนึ่งทุ่ม เมื่อสอบถามเพิ่มเติม หลายคนต้องเลี้ยงแฟนด้วยซ้ำ เพราะแฟนไม่ทำงาน

คุณแม่พูดกับพวกเราเสมอว่า พวกเราต้องยืนได้ด้วยตัวเอง อย่าคิดว่าใครจะต้องมาเลี้ยงเรา หากมีถือว่าได้แต้ม แต่อย่าตกไปอยู่ในสภาพที่ไม่มีทางเลือก เพราะฉะนั้น เราต้องมีวิชาชีพ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ บริษัทเรามีแม่เลี้ยงเดี่ยวจำนวนหนึ่งเลยค่ะ ทำให้ดิฉันประทับใจความแกร่งของเพศหญิงอย่างมาก ไม่ว่าจะเจอมรสุมอะไร จะสู้ไม่ถอย

ตอนนี้นานมีบุ๊คส์กำลังจะจัดพิมพ์หนังสือเรื่องแค่ 13เรื่องราวชีวิตของ ลอน จากเด็กหนีออกจากบ้านมาเป็นหญิงขายบริการเรทติ้งอันดับหนึ่ง เด็กผู้หญิงที่ไม่มีค่าพอที่พ่อแม่จะส่งเรียนหนังสือ แต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญให้ครอบครัว ได้เงินจากไหนไม่เคยมีใครถาม ยิ่งให้บริการแบบ “พิศดาร” เท่าไรก็ได้เงินมากขึ้น และแม่ก็เอาไปหมด

ลอน เขียนในอารัมภบทว่า “หลังจากทนทุกช์มานานกว่าสิบปี ฉันก็หนีออกจากประเทศไทยสำเร็จ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พบว่า การอยู่อีกประเทศหนึ่งหรือการแต่งงานกับคนอังกฤษ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากภายใน ฉันต้องการเป็นแบบอย่างที่ดี ต้องการทำให้หญิงสาวคนอื่น ๆ เห็นว่าพวกเธอก็ทำสำเร็จได้ ... เราต้องรู้ให้ลึกถึงจิตวิญญาณว่าร่างกายมนุษย์เป็นสมบัติล้ำค่า เราแต่ละคนมีคุณค่า และสามารถทำความดีเพื่อสังคมได้ เราจึงจะเอาชนะเกมชีวิตนี้ได้”
โจทย์ของพวกเราคือ จะเลี้ยงดูสั่งสอนลูกหลานของเราอย่างไร ให้มีวิชาชีพเลี้ยงดูตัวเองได้ มีความรัก เคารพตัวเอง และมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถแก้ปัญหาได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน